กำลังแก้ไข ฐานข้อมูล เรื่อง แกงเขียวหวานกล้วยไข่กำแพงเพชร
ไบยังการนำทาง
ไปยังการค้นหา
คำเตือน: คุณมิได้ล็อกอิน สาธารณะจะเห็นเลขที่อยู่ไอพีของคุณหากคุณแก้ไข หากคุณล็อกอินหรือสร้างบัญชี การแก้ไขของคุณจะถือว่าเป็นของชื่อผู้ใช้ของคุณ ร่วมกับประโยชน์อื่น
สามารถย้อนการแก้ไขนี้กลับได้
กรุณาตรวจสอบข้อแตกต่างด้านล่างเพื่อทวนสอบว่านี่เป็นสิ่งที่คุณต้องการทำ แล้วบันทึกการเปลี่ยนแปลงด้านล่างเพื่อเสร็จสิ้นการย้อนการแก้ไขกลับ
รุ่นแก้ไขปัจจุบัน | ข้อความของคุณ | ||
แถว 6: | แถว 6: | ||
==='''ความเป็นมาของภูมิปัญญา'''=== | ==='''ความเป็นมาของภูมิปัญญา'''=== | ||
'''ประวัติแกงเขียวหวาน''' | '''ประวัติแกงเขียวหวาน''' | ||
− | ผู้รู้ในด้านวัฒนธรรมอาหารไทยหลายท่านได้เขียนถึงความเป็นมาของแกงไทยไว้ในหลายทัศนะ บ้างว่า | + | ผู้รู้ในด้านวัฒนธรรมอาหารไทยหลายท่านได้เขียนถึงความเป็นมาของแกงไทยไว้ในหลายทัศนะ บ้างว่า แกงไทยนั้นเป็นของไทยแท้ๆ ที่บรรพบุรุษของเราคิดสร้างสรรค์ขึ้น แต่ทัศนะที่ได้รับการยอมรับเป็นส่วนใหญ่ชี้ว่าแกงไทยได้อิทธิพลมาจากแกงของอินเดีย แต่ความเห็นเช่นนี้ก็เป็นดั่งกำปั้นทุบดิน เพราะอินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ ซึ่งรู้กันอยู่แล้วว่ามีอิทธิพลต่อการพัฒนาประเพณีและวัฒนธรรมของชนชาติต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ทั้งนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องรับจากอินเดียโดยตรงเสมอไป หากดูหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ไม่พบว่าอินเดียมีความสัมพันธ์กับไทยโดยตรงแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมโดยรวมหรือวัฒนธรรมเฉพาะด้านอย่างวัฒนธรรมอาหาร หากพิเคราะห์ลงไปให้ลึกซึ้ง ความเป็นมาของแกงไทยอาจไม่สามารถสรุปลงไปอย่างง่าย ๆ ว่ามาจากอินเดีย จะรู้ว่าแกงอินเดียและแกงไทยนั้นมีเสน่ห์แตกต่างกันอย่างชัดเจน แกงอินเดียโดดเด่นที่กลิ่นหอมหนัก ๆ ของการผสมเครื่องเทศอย่างกลมกลืน เช่น พริกแห้ง กระวาน กานพลู ลูกผักชี ใบมัสตาร์ด อบเชย ขมิ้น ลูกจันทน์ เป็นต้น ความข้นมันในแกงอินเดียนั้นได้มาจากน้ำมันหรือโยเกิร์ต แถมชาวอินเดียยังนิยมกินแกงกับโรตีหรือนานมากกว่าข้าว ในขณะที่แกงไทยมีเอกลักษณ์ที่กลิ่นสมุนไพรสด มีกลิ่นหอมเบา ๆ น้ำแกงมีทั้งน้ำใสและน้ำข้นหวานมันจากกะทิ ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของเครื่องแกงเป็นสมุนไพรและเครื่องปรุงสด อย่างตะไคร้ ข่า หอมแดง กะปิ กระเทียม ทำให้พริกแกงบ้านเรามีลักษณะเปียก แกงมีกลิ่นรสที่แตกต่างออกไป และที่สำคัญเรานิยมกินแกงกับข้าวไม่ใช่โรตี (ศศิกานต์ เพิ่มสุขทวี, ม.ป.ป.) |
โดยสรุปได้ว่า แกงไทยมีต้นกำเนิดมาจากอดีตกาล โดยได้รับอิทธิผลบางส่วนมาจากอินเดีย แกงของไทยนั้นจะมีรสชาติที่เข้มข้นกว่าอินเดีย รวมไปถึงปริมาณวัตถุดิบที่ใช้วิธีการปรุงแกงนั้นก็มีความแตกต่างกัน ทำให้แกงไทยมีรสชาติที่โดดเด่นเฉพาะตัวโดยมีการดัดแปลงแกงของอินเดียมาเป็นแกงแดงในประเทศไทยที่มีรสชาติที่จัดจ้านเพื่อให้แกงมีรสชาติที่ถูกปากคนไทย | โดยสรุปได้ว่า แกงไทยมีต้นกำเนิดมาจากอดีตกาล โดยได้รับอิทธิผลบางส่วนมาจากอินเดีย แกงของไทยนั้นจะมีรสชาติที่เข้มข้นกว่าอินเดีย รวมไปถึงปริมาณวัตถุดิบที่ใช้วิธีการปรุงแกงนั้นก็มีความแตกต่างกัน ทำให้แกงไทยมีรสชาติที่โดดเด่นเฉพาะตัวโดยมีการดัดแปลงแกงของอินเดียมาเป็นแกงแดงในประเทศไทยที่มีรสชาติที่จัดจ้านเพื่อให้แกงมีรสชาติที่ถูกปากคนไทย | ||
[[ไฟล์:แกงแดง .jpg|350px|thumb|center]] | [[ไฟล์:แกงแดง .jpg|350px|thumb|center]] | ||
แถว 15: | แถว 15: | ||
<p align = "center"> '''ภาพที่ 2''' แกงเขียวหวาน<br>(พฤภัทร 'มะปราง' ทรงเที่ยง, 2565)</p> | <p align = "center"> '''ภาพที่ 2''' แกงเขียวหวาน<br>(พฤภัทร 'มะปราง' ทรงเที่ยง, 2565)</p> | ||
แกงเขียวหวานนั้นมีการพัฒนามาจากแกงแดงซึ่งแดงนั้นเป็นภูมิปัญญาอาหารของคนไทยในสมัยก่อนที่เริ่มจากแกงเลียงและแกงป่าที่ไม่ใส่กะทิ ต่อมาได้มีการดัดแปลงโดยใส่กะทิและพริกแห้งลงไปทำให้เกิด “แกงแดง” หรือ “แกงเผ็ด” และได้มีการประยุกต์มาเป็น “แกงเขียวหวาน” ซึ่งแกงเขียวหวานนั้นมีที่มาของชื่อที่มีความหมายว่า เป็นแกงที่มีสีเขียวแบบหวาน เป็นแกงที่มีสีเขียวนวล เขียวสะอาดหรือเขียวแบบนุ่มนวลไม่ใช่เขียวเสียจนจัดจ้านน่ากลัว และที่แน่ ๆ ไม่ใช่แกงสีเขียวที่มีรสหวานเพราะแกงเขียวหวานต้องไม่หวานเป็นนำ แต่ต้องเป็นเค็มนำแล้วหวานตาม ซึ่งแกงเขียวหวานนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะเพราะน้ำแกงนั้นเป็นสีเขียว ที่ได้มาจากพริกชี้ฟ้าสดสีเขียวกับพริกขี้หนูสดสีเขียวเมื่อนำพริกแกงไปผัดกับน้ำกะทิ น้ำแกงจะออกเป็นสีเขียวอ่อนตามสีของพริก จึงเรียกว่า “แกงเขียวหวาน” เหมือนในปัจจุบันมานี้ (ปากน้ำเมี่ยน, 2563) ซึ่งแปลได้ว่า แกงเขียวหวานนั้นไม่ได้มีมาตั้งแต่เริ่มแรก แต่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยมีการผสมและปรุงใหม่ให้เป็นเมนูใหม่ขึ้นมา ให้มีรสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้นโดยการใส่น้ำกะทิลงไปนอกจากแกงรสเผ็ดแล้วก็ยังมีการดัดแปลงให้มีความแปลกใหม่ | แกงเขียวหวานนั้นมีการพัฒนามาจากแกงแดงซึ่งแดงนั้นเป็นภูมิปัญญาอาหารของคนไทยในสมัยก่อนที่เริ่มจากแกงเลียงและแกงป่าที่ไม่ใส่กะทิ ต่อมาได้มีการดัดแปลงโดยใส่กะทิและพริกแห้งลงไปทำให้เกิด “แกงแดง” หรือ “แกงเผ็ด” และได้มีการประยุกต์มาเป็น “แกงเขียวหวาน” ซึ่งแกงเขียวหวานนั้นมีที่มาของชื่อที่มีความหมายว่า เป็นแกงที่มีสีเขียวแบบหวาน เป็นแกงที่มีสีเขียวนวล เขียวสะอาดหรือเขียวแบบนุ่มนวลไม่ใช่เขียวเสียจนจัดจ้านน่ากลัว และที่แน่ ๆ ไม่ใช่แกงสีเขียวที่มีรสหวานเพราะแกงเขียวหวานต้องไม่หวานเป็นนำ แต่ต้องเป็นเค็มนำแล้วหวานตาม ซึ่งแกงเขียวหวานนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะเพราะน้ำแกงนั้นเป็นสีเขียว ที่ได้มาจากพริกชี้ฟ้าสดสีเขียวกับพริกขี้หนูสดสีเขียวเมื่อนำพริกแกงไปผัดกับน้ำกะทิ น้ำแกงจะออกเป็นสีเขียวอ่อนตามสีของพริก จึงเรียกว่า “แกงเขียวหวาน” เหมือนในปัจจุบันมานี้ (ปากน้ำเมี่ยน, 2563) ซึ่งแปลได้ว่า แกงเขียวหวานนั้นไม่ได้มีมาตั้งแต่เริ่มแรก แต่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยมีการผสมและปรุงใหม่ให้เป็นเมนูใหม่ขึ้นมา ให้มีรสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้นโดยการใส่น้ำกะทิลงไปนอกจากแกงรสเผ็ดแล้วก็ยังมีการดัดแปลงให้มีความแปลกใหม่ | ||
− | “แกงเขียวหวาน” มีที่มาจาก “น้ำแกงสีเขียว” ส่วน “หวาน” หมายถึง สีเขียวที่ดูสีหวานละมุน ไม่ได้หมายถึง รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมของเครื่องเทศ รสเผ็ด เค็ม มัน หวานจากกะทิ หรือสูตรแคลอรี่ต่ำที่ไม่ใส่น้ำกะทิ เครื่องปรุงรสที่สำคัญคือเครื่องแกง ประกอบด้วยเครื่องเทศหลายชนิด เช่น กระเทียม หอมแดง ตะไคร้ ลูกผักชี พริกไทย ข่า เพื่อรสชาติที่จัดจ้านกลมกล่อมของน้ำแกง หรืออาจผสมสูตรเครื่องแกงเป็นสูตรเจโดยไม่ใส่ผักชี กระเทียม หอมแดง ก็ให้รสชาติที่ถูกใจได้เหมือนกัน สำหรับที่มาของแกงเขียวหวานนั้นก็อาจจะยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่น่าจะเกิดในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2452-2469 ในช่วงรัชกาลที่ 6-7 ที่เป็นการวิเคราะห์จากหลักฐานคือตำราแม่ครัวหัวป่าก์ และคู่มือแม่ครัวในปี พ.ศ. 2469 เดิมทีแกงตามแบบฉบับคนไทยนั้นจะเป็นแกงประเภทน้ำใส เช่น แกงเลียง หรือ แกงป่า พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ แรกเริ่มเดิมทีคนไทยไม่ทานแกงที่ใส่กะทิ ทานแต่แกงที่เป็นน้ำใส ต้มใส่ส่วนผสมต่าง ๆ และพริกหลากชนิดตำละเอียดเพียงเท่านั้น ต่อมาเริ่มมีการใช้กะทิเป็นส่วนผสมในอาหาร และนั่นเองเป็นจุดที่เครื่องแกงได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์เกิด “แกงแดง” หรือ “แกงเผ็ด” ขึ้น เพราะมาจากเครื่องแกงกะทิที่ใช้พริกแดง และต่อมาเครื่องแกงนี้เองก็ถูกนำมาดัดแปลงเปลี่ยนพริกสีแดงเป็นพริกสีเขียวแทน และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อ แกงเขียวหวาน ไม่ได้มาจากรสชาติหวานอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจแต่มาจากสีของแกง เมื่อนำพริกแกงสีเขียวมาปรุงใส่หัวกะทิแตกมัน ผัก และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ลงไป ได้เป็นน้ำแกงสีเขียวอ่อนๆ ดูแล้ว หวานละมุนนั่นเอง (ปากน้ำเมี่ยน, 2563) สรุปได้ว่า แกงเขียวหวาน อาจจะมีช่วงกำเนิดในปี 2452 โดยเกิดมาจากแกงที่มีความใส่ แต่ปรุงโดยใส่วัตถุดิบหลักอย่างพริกสีเขียว อีกทั้งยังใส่เนื้อสัตว์ ผัก หัวกะทิแตกมัน ทำให้แกงเขียนหวานมีสีเขียวละมุนน่ารับประทาน และมีรสชาติที่หวาน | + | “แกงเขียวหวาน” มีที่มาจาก “น้ำแกงสีเขียว” ส่วน “หวาน” หมายถึง สีเขียวที่ดูสีหวานละมุน ไม่ได้หมายถึง รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมของเครื่องเทศ รสเผ็ด เค็ม มัน หวานจากกะทิ หรือสูตรแคลอรี่ต่ำที่ไม่ใส่น้ำกะทิ เครื่องปรุงรสที่สำคัญคือเครื่องแกง ประกอบด้วยเครื่องเทศหลายชนิด เช่น กระเทียม หอมแดง ตะไคร้ ลูกผักชี พริกไทย ข่า เพื่อรสชาติที่จัดจ้านกลมกล่อมของน้ำแกง หรืออาจผสมสูตรเครื่องแกงเป็นสูตรเจโดยไม่ใส่ผักชี กระเทียม หอมแดง ก็ให้รสชาติที่ถูกใจได้เหมือนกัน สำหรับที่มาของแกงเขียวหวานนั้นก็อาจจะยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่น่าจะเกิดในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2452-2469 ในช่วงรัชกาลที่ 6-7 ที่เป็นการวิเคราะห์จากหลักฐานคือตำราแม่ครัวหัวป่าก์ และคู่มือแม่ครัวในปี พ.ศ. 2469 เดิมทีแกงตามแบบฉบับคนไทยนั้นจะเป็นแกงประเภทน้ำใส เช่น แกงเลียง หรือ แกงป่า พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ แรกเริ่มเดิมทีคนไทยไม่ทานแกงที่ใส่กะทิ ทานแต่แกงที่เป็นน้ำใส ต้มใส่ส่วนผสมต่าง ๆ และพริกหลากชนิดตำละเอียดเพียงเท่านั้น ต่อมาเริ่มมีการใช้กะทิเป็นส่วนผสมในอาหาร และนั่นเองเป็นจุดที่เครื่องแกงได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์เกิด “แกงแดง” หรือ “แกงเผ็ด” ขึ้น เพราะมาจากเครื่องแกงกะทิที่ใช้พริกแดง และต่อมาเครื่องแกงนี้เองก็ถูกนำมาดัดแปลงเปลี่ยนพริกสีแดงเป็นพริกสีเขียวแทน และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อ แกงเขียวหวาน ไม่ได้มาจากรสชาติหวานอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจแต่มาจากสีของแกง เมื่อนำพริกแกงสีเขียวมาปรุงใส่หัวกะทิแตกมัน ผัก และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ |
+ | ลงไป ได้เป็นน้ำแกงสีเขียวอ่อนๆ ดูแล้ว หวานละมุนนั่นเอง (ปากน้ำเมี่ยน, 2563) สรุปได้ว่า แกงเขียวหวาน อาจจะมีช่วงกำเนิดในปี 2452 โดยเกิดมาจากแกงที่มีความใส่ แต่ปรุงโดยใส่วัตถุดิบหลักอย่างพริกสีเขียว อีกทั้งยังใส่เนื้อสัตว์ ผัก หัวกะทิแตกมัน ทำให้แกงเขียนหวานมีสีเขียวละมุนน่ารับประทาน และมีรสชาติที่หวาน | ||
'''ความแตกต่างระหว่างแกงแดง กับแกงเขียวหวาน''' | '''ความแตกต่างระหว่างแกงแดง กับแกงเขียวหวาน''' | ||
แกงแดง คือ แกงไทยจัดเป็นอาหารประเภทที่ทำค่อนข้างยากด้วยขั้นตอนการปรุงอย่างละเมียดละไม รวมทั้งองค์ประกอบวัตถุดิบหลายอย่างที่ล้วนมีผลลัพธ์กับความอร่อย โดยเฉพาะแกงไทยที่ต้องใช้ ‘พริกแกง’ เพราะพริกแกงส่งผลต่อกลิ่น รสชาติ และสีสันของแกง ใครจะรู้ว่าพริกแกงช้อนหนึ่งประกอบด้วยวัตถุดิบเป็นสิบชนิดโขลกรวมกัน รสชาติแกงไทยจึงซับซ้อนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว ตำรับอาหารไทยมีพริกแกงหลายชนิด แต่ละพริกแกงมีวัตถุดิบคล้ายกันต่างกันตรงเพิ่มลดโน่นนิดนี่หน่อย แตกยอดกลายเป็นพริกแกงอีกชนิด ส่วนผสมยืนพื้นของพริกแกงทุกชนิดที่ต้องมีคือ หอมแดง กระเทียม กะปิ และเกลือ ประกอบกับสมุนไพรให้กลิ่น เช่น ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด รากผักชี กระชาย ขมิ้น ซึ่งแล้วแต่ชนิดของพริกแกงว่าใช้สมุนไพรตัวไหนบ้าง ตัวชูโรงที่สำคัญของพริกแกงจะเป็นสิ่งใดไปไม่ได้นอกจาก ‘พริก’ จะพริกสด พริกแห้ง พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้าเขียวหรือแดง ใช้ได้หมด เป็นตัวบ่งชี้ระดับความเผ็ดร้อนและทำให้สีสันพริกแกงออกมาต่างกัน (ณวรา เปลี่ยนบุญเลิศ, ม.ป.ป.) แกงเขียวหวาน คือ แกงกะทิ ที่คนไทยนิยมรับประทานและเป็นที่ชื่นชอบของคนต่างชาติ เป็นอาหารไทยโบราณที่มีรสชาติจัดจ้าน ไม่ว่าจะทานกับข้าวสวยหรือเส้นขนมจีนก็ลงตัว จะเห็นได้ว่าส่วนผสมส่วนใหญ่ทำมาจากสมุนไพรไทยทั้งสิ้น เช่น ใบโหระพา ใบมะกรูด เป็นต้น (COCOCHAOPHARAYA, 2564) ความแตกต่างคือ แกงเขียวหวานจะใช้พริกสดเขียวในการเป็นพริกแกงใส่ลงไปจะทำให้น้ำพริกแกงนั้นออกมาเป็นสีเขียว ส่วนแกงแดงจะใช้พริกแห้งแดงเป็นพริกแกงทำให้น้ำแกงนั้นออกมาเป็นสีแดงซึ่งของแต่ละอย่างนั้นออกมาต่างกันขึ้นอยู่กับสีของพริกแกงที่ใส่ลงไป | แกงแดง คือ แกงไทยจัดเป็นอาหารประเภทที่ทำค่อนข้างยากด้วยขั้นตอนการปรุงอย่างละเมียดละไม รวมทั้งองค์ประกอบวัตถุดิบหลายอย่างที่ล้วนมีผลลัพธ์กับความอร่อย โดยเฉพาะแกงไทยที่ต้องใช้ ‘พริกแกง’ เพราะพริกแกงส่งผลต่อกลิ่น รสชาติ และสีสันของแกง ใครจะรู้ว่าพริกแกงช้อนหนึ่งประกอบด้วยวัตถุดิบเป็นสิบชนิดโขลกรวมกัน รสชาติแกงไทยจึงซับซ้อนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว ตำรับอาหารไทยมีพริกแกงหลายชนิด แต่ละพริกแกงมีวัตถุดิบคล้ายกันต่างกันตรงเพิ่มลดโน่นนิดนี่หน่อย แตกยอดกลายเป็นพริกแกงอีกชนิด ส่วนผสมยืนพื้นของพริกแกงทุกชนิดที่ต้องมีคือ หอมแดง กระเทียม กะปิ และเกลือ ประกอบกับสมุนไพรให้กลิ่น เช่น ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด รากผักชี กระชาย ขมิ้น ซึ่งแล้วแต่ชนิดของพริกแกงว่าใช้สมุนไพรตัวไหนบ้าง ตัวชูโรงที่สำคัญของพริกแกงจะเป็นสิ่งใดไปไม่ได้นอกจาก ‘พริก’ จะพริกสด พริกแห้ง พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้าเขียวหรือแดง ใช้ได้หมด เป็นตัวบ่งชี้ระดับความเผ็ดร้อนและทำให้สีสันพริกแกงออกมาต่างกัน (ณวรา เปลี่ยนบุญเลิศ, ม.ป.ป.) แกงเขียวหวาน คือ แกงกะทิ ที่คนไทยนิยมรับประทานและเป็นที่ชื่นชอบของคนต่างชาติ เป็นอาหารไทยโบราณที่มีรสชาติจัดจ้าน ไม่ว่าจะทานกับข้าวสวยหรือเส้นขนมจีนก็ลงตัว จะเห็นได้ว่าส่วนผสมส่วนใหญ่ทำมาจากสมุนไพรไทยทั้งสิ้น เช่น ใบโหระพา ใบมะกรูด เป็นต้น (COCOCHAOPHARAYA, 2564) ความแตกต่างคือ แกงเขียวหวานจะใช้พริกสดเขียวในการเป็นพริกแกงใส่ลงไปจะทำให้น้ำพริกแกงนั้นออกมาเป็นสีเขียว ส่วนแกงแดงจะใช้พริกแห้งแดงเป็นพริกแกงทำให้น้ำแกงนั้นออกมาเป็นสีแดงซึ่งของแต่ละอย่างนั้นออกมาต่างกันขึ้นอยู่กับสีของพริกแกงที่ใส่ลงไป | ||
แถว 23: | แถว 24: | ||
ตามกันมาในภาคกลางที่มีอารยธรรมหลากหลายทางสายพันธุ์ เชื้อชาติ มีทั้งอินเดีย จีน มอญ และอีกมากมาย ซึ่งแกงของภาคกลางนั้นก็จะมีความหลากหลาย หลายรสชาติเนื่องจากได้รับวัฒนธรรมจากต่างชาติ ลักษณะของแกงนั้นจะมีทั้งแกงน้ำข้น น้ำใส เข้ากะทิแตกมัน และเข้ากะทิแบบไม่แตกมัน รสชาติของแกงภาคกลางเน้นความกลมกล่อม เปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวาน อย่างลงตัว และความโดดเด่นในเรื่องรสชาติก็จะสอดคล้องและแตกต่างตามแต่ละท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งหลากหลายทั้งหน้าตาและรสชาติตามแต่วัฒนธรรมที่ได้รับมา อย่างแกงเผ็ดเป็ดย่าง เป็นแกงที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ นิยมใส่ผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยว เพื่อตัดความเลี่ยนของกะทิ (ชรินรัตน์ จริงจิตร, ม.ป.ป.) แกงภาคกลาง มีรสชาติหลากหลายเพราะได้รับวัฒนธรรมจากต่างประเทศ ทำให้แกงมีรสชาติแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ทั้งหน้าตาและรสชาติ อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ในการใส่ผลไม้รสชาติเปรี้ยว เพื่อตัดความเลี่ยนของกะทิ | ตามกันมาในภาคกลางที่มีอารยธรรมหลากหลายทางสายพันธุ์ เชื้อชาติ มีทั้งอินเดีย จีน มอญ และอีกมากมาย ซึ่งแกงของภาคกลางนั้นก็จะมีความหลากหลาย หลายรสชาติเนื่องจากได้รับวัฒนธรรมจากต่างชาติ ลักษณะของแกงนั้นจะมีทั้งแกงน้ำข้น น้ำใส เข้ากะทิแตกมัน และเข้ากะทิแบบไม่แตกมัน รสชาติของแกงภาคกลางเน้นความกลมกล่อม เปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวาน อย่างลงตัว และความโดดเด่นในเรื่องรสชาติก็จะสอดคล้องและแตกต่างตามแต่ละท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งหลากหลายทั้งหน้าตาและรสชาติตามแต่วัฒนธรรมที่ได้รับมา อย่างแกงเผ็ดเป็ดย่าง เป็นแกงที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ นิยมใส่ผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยว เพื่อตัดความเลี่ยนของกะทิ (ชรินรัตน์ จริงจิตร, ม.ป.ป.) แกงภาคกลาง มีรสชาติหลากหลายเพราะได้รับวัฒนธรรมจากต่างประเทศ ทำให้แกงมีรสชาติแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ทั้งหน้าตาและรสชาติ อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ในการใส่ผลไม้รสชาติเปรี้ยว เพื่อตัดความเลี่ยนของกะทิ | ||
สุดท้ายคือภาคใต้ ที่ใคร ๆ ก็รู้จักที่ขึ้นชื่อเรื่องของรสชาติที่จัดจ้านและเผ็ดจากพริกและเครื่องเทศ อาหารส่วนใหญ่ของคนภาคใต้จะใส่ ขมิ้น เป็นส่วนผสมหลัก ๆ เพราะว่าทางภาคใต้นั้นติดทะเลอาหารส่วนใหญ่มักจะนำพวกปลาทะเลมาทำเป็นอาหาร ซึ่งจะนำขมิ้นมาช่วยในการดับกลิ่นคาวของปลา แกงภาคใต้ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งมลายู อินเดีย พม่า ไล่มาจนถึงจีน ซึ่งวัฒนธรรมอาหารถูกถ่ายเทแลกเปลี่ยนกันมาจนทำให้แกงกะทิของทางใต้มีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์ อาทิ แกงกะทิภาคใต้ไม่นิยมนำเครื่องแกงไปผัดกับน้ำมัน จึงทำให้ได้รสชาติที่หวานนวลกว่าแกงกะทิของชาวมุสลิมที่ได้รับอิทธิพลมา อีกทั้งแกงกะทิของภาคใต้ก็มีความแตกต่างกันไปตามภูมิภาค อย่างเช่นแกงกะทิฝั่งตะวันตกแถบจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ได้รับอิทธิพลจากชาวจีนฮกเกี้ยนปนมาด้วย (ชรินรัตน์ จริงจิตร, ม.ป.ป.) แกงภาคใต้ จะมีรสชาติที่จัดจ้านและเผ็ดจากพริก และเครื่องเทศส่วนใหญ่ที่จะใส่คือ ขมิ้น เพราะช่วยดับกลิ่นคาวปลา แกงภาคใต้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งมลายู ซึ่งวัฒนธรรมอาหารถูกถ่ายเทแลกเปลี่ยนกันมาจนทำให้แกงกะทิของทางใต้มีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แกงเขียวหวานนั้นยังมีคุณค่าทางด้านของด้านโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย ให้พลังงานที่ดีต่อร่างกายในแกงเขียวหวานนั้นมีองค์ประกอบของ เนื้อสัตว์ ผัก ไขมัน ในปริมาณใยอาหารสูง | สุดท้ายคือภาคใต้ ที่ใคร ๆ ก็รู้จักที่ขึ้นชื่อเรื่องของรสชาติที่จัดจ้านและเผ็ดจากพริกและเครื่องเทศ อาหารส่วนใหญ่ของคนภาคใต้จะใส่ ขมิ้น เป็นส่วนผสมหลัก ๆ เพราะว่าทางภาคใต้นั้นติดทะเลอาหารส่วนใหญ่มักจะนำพวกปลาทะเลมาทำเป็นอาหาร ซึ่งจะนำขมิ้นมาช่วยในการดับกลิ่นคาวของปลา แกงภาคใต้ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งมลายู อินเดีย พม่า ไล่มาจนถึงจีน ซึ่งวัฒนธรรมอาหารถูกถ่ายเทแลกเปลี่ยนกันมาจนทำให้แกงกะทิของทางใต้มีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์ อาทิ แกงกะทิภาคใต้ไม่นิยมนำเครื่องแกงไปผัดกับน้ำมัน จึงทำให้ได้รสชาติที่หวานนวลกว่าแกงกะทิของชาวมุสลิมที่ได้รับอิทธิพลมา อีกทั้งแกงกะทิของภาคใต้ก็มีความแตกต่างกันไปตามภูมิภาค อย่างเช่นแกงกะทิฝั่งตะวันตกแถบจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ได้รับอิทธิพลจากชาวจีนฮกเกี้ยนปนมาด้วย (ชรินรัตน์ จริงจิตร, ม.ป.ป.) แกงภาคใต้ จะมีรสชาติที่จัดจ้านและเผ็ดจากพริก และเครื่องเทศส่วนใหญ่ที่จะใส่คือ ขมิ้น เพราะช่วยดับกลิ่นคาวปลา แกงภาคใต้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งมลายู ซึ่งวัฒนธรรมอาหารถูกถ่ายเทแลกเปลี่ยนกันมาจนทำให้แกงกะทิของทางใต้มีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แกงเขียวหวานนั้นยังมีคุณค่าทางด้านของด้านโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย ให้พลังงานที่ดีต่อร่างกายในแกงเขียวหวานนั้นมีองค์ประกอบของ เนื้อสัตว์ ผัก ไขมัน ในปริมาณใยอาหารสูง | ||
− | |||
==='''ผู้ค้นพบ/ผู้คิดค้น/ผู้นำมาใช้'''=== | ==='''ผู้ค้นพบ/ผู้คิดค้น/ผู้นำมาใช้'''=== | ||
ดร.รุ่งธรรม ศรีวรรธนศิลป์ อายุ 64 ปี (หรือ อ.รุ่งธรรม) อดีตอาจารย์เกษียณคณะคหกรรม และเป็นหัวหน้าศูนย์บริรักษ์ไทย วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร (Vsport, 2565) | ดร.รุ่งธรรม ศรีวรรธนศิลป์ อายุ 64 ปี (หรือ อ.รุ่งธรรม) อดีตอาจารย์เกษียณคณะคหกรรม และเป็นหัวหน้าศูนย์บริรักษ์ไทย วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร (Vsport, 2565) | ||
แถว 37: | แถว 37: | ||
'''ส่วนประกอบแกงเขียวหวาน''' | '''ส่วนประกอบแกงเขียวหวาน''' | ||
เขียวหวาน ที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ซึ่งให้ไขมันแก่ร่างกาย การรับประทานอย่างพอดีคือ ตักรับประทานเป็นเครื่องราดข้าวบ้างบางคำ ไม่ใช่การโถมสาดบนข้าวให้กลายเป็นข้าวต้ม การรับประทานแบบนี้จะทำให้ได้รับรสของเขียวหวานอย่างเต็มที่และไม่เลี่ยนกะทิจนเกินไป เนื้อสัตว์ที่ใส่ในแกงเขียวหวาน ก็ตามแต่ความชอบ หากใส่เป็นลูกชิ้นปลากรายก็จะได้รับโปรตีน โดยมีไขมันต่ำหน่อย เช่นเดียวกันกับเนื้อไก่ (Phasit Kanasirichainon, ม.ป.ป.) | เขียวหวาน ที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ซึ่งให้ไขมันแก่ร่างกาย การรับประทานอย่างพอดีคือ ตักรับประทานเป็นเครื่องราดข้าวบ้างบางคำ ไม่ใช่การโถมสาดบนข้าวให้กลายเป็นข้าวต้ม การรับประทานแบบนี้จะทำให้ได้รับรสของเขียวหวานอย่างเต็มที่และไม่เลี่ยนกะทิจนเกินไป เนื้อสัตว์ที่ใส่ในแกงเขียวหวาน ก็ตามแต่ความชอบ หากใส่เป็นลูกชิ้นปลากรายก็จะได้รับโปรตีน โดยมีไขมันต่ำหน่อย เช่นเดียวกันกับเนื้อไก่ (Phasit Kanasirichainon, ม.ป.ป.) | ||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− | |||
− |