เสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชร

จาก KPPStudies
ไบยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

บทนำ

         เรื่องราวการบันทึกเหตุการณ์เสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชรของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ซึ่งจังหวัดกำแพงเพชรเป็นหัวเมืองที่สำคัญเมืองหนึ่งในประเทศไทย สภาพทั่วไปของจังหวัดกำแพงเพชรจังหวัดกำแพงเพชรเป็นเมืองเก่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี โดยพระองค์ทรงเสด็จประพาสต้นจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อวันที่ 25-29 สิงหาคม 125 ตรงกับ พ.ศ. 2449 มีกิจกรรมที่พระองค์ทำระหว่างเสด็จประพาสในจังหวัดกำแพงเพชรได้แก่ การตรวจดูการปกครองการรับเสด็จ การถ่ายภาพในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ท่านเสด็จ เที่ยวชมเมืองโบราณ รวมทั้งได้ฟังเรื่องราวตามตำนานของชาวบ้านที่พูดถึงเรื่องของ ฤษี 11 ตน ระหว่างเสด็จประพาสในจังหวัดกำแพงเพชร และมีบุคคลสำคัญที่ติดตามมาด้วยกัน 20 คน เป็นบันทึกเหตุการณ์สำคัญของจังหวัดกำแพงเพชรและประเทศไทย
         บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพทั่วไปของจังหวัดกำแพงเพชร 2) ความเป็นมาของเหตุการณ์ 3) บันทึกเหตุการณ์การเสด็จประพาสต้น 4) ตำนานที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จประพาสต้น 5) การเสด็จประพาสต้นในเมืองกำแพงเพชร และ 6) บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์

คำสำคัญ : เสด็จประพาสต้น, กำแพงเพชร

สภาพทั่วไปของจังหวัดกำแพงเพชร

         สภาพทั่วไปของจังหวัดกำแพงเพชรจังหวัดกำแพงเพชรเป็นเมืองเก่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีเมื่อประมาณ 700 ปีมาแล้ว จากการศึกษาหลักศิลาจารึกโดยนักโบราณคดีทำให้ทราบว่าจังหวัดกำแพงเพชรเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายเมืองเช่นเมืองชากังราวเมืองนครชุมเมืองไตรตรึงษ์เมืองเทพนครและเมืองคณฑี ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่ากำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัยมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงเดิมว่า “เมืองชากังราว” และมีเมืองบริวารรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก การที่กำแพงเพชรเป็นเมืองถ้าท่านรับศึกสงครามในอดีตอยู่เสมอจึงเป็นเมืองยุทธศาสตร์มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายเช่นกำแพงเมืองคูเมืองป้อมปราการวัดโบราณมีหลักฐานให้สันนิษฐานว่า เดิมเคยเป็นที่ตั้งของเมือง 2 เมืองคือเมืองชากังราวและเมืองนครชุมโดยเมืองชากังราวสร้างขึ้นก่อนตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิงพระเจ้าเลอไทกษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์สุโขทัยเป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ. ศ. 1890 ต่อมาสมัยพระเจ้าลิไทกษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์สุโขทัยได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิงคือ “เมืองนครชุม” สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่องกำแพงเมืองไว้ว่า “เป็นกำแพงเมืองที่เก่าแก่มั่นคงยังมีความสมบูรณ์มากและเชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย” ปัจจุบันจังหวัดกำแพงเพชรเป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งมีโบราณสถานเก่าแก่ซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงหลายแห่งรวมอยู่ใน “อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร” ซึ่งองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยจังหวัดสุโขทัยเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2534 นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวจังหวัดกำแพงเพชรอย่างยิ่ง (พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549)

ความเป็นมาของเหตุการณ์

         เสด็จประพาสต้นนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงพระนิพนธ์คำอธิบายไว้เมื่อการพิมพ์ครั้งก่อนมีความว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชอัธยาศัยโปรดในการเสด็จประพาสตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติมาเสด็จประพาสบ้านเมืองแทบทุกปีเสด็จไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ในพระราชอาณาเขตบ้านเสด็จไปถึงต่างประเทศบ้างได้เคยเสด็จตามพื้นที่หัวเมืองในพระราชอาณาเขตทั่วทุกพื้นที่ เมื่อในรัชกาลที่ 5 ทางคมนาคมถึงพื้นที่เหล่านั้นจะไปมายังกันดารนักเปลืองเวลาและลำบากแก่ผู้อื่นจึงรออยู่มิได้เสด็จจนตลอดรัชกาลในการเสด็จประพาสหัวเมืองใหญ่น้อยในพระราชอาณาเขตนั้นบางคราวก็เสด็จไปเพื่อทรงตรวจจัดการปกครองจัดการรับเสด็จเป็นทางราชการบางคราวก็เสด็จไปเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถไม่โปรดให้จัดการรับเสด็จเป็นทางราชการที่เรียกว่า “เสด็จประพาสต้น” อยู่ในการเสด็จเพื่อสำราญพระราช-อิริยาบถแต่โปรดให้จัดการที่เสด็จไปให้ง่ายยิ่งกว่าเสด็จไปประพาสเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างสามัญคือไม่ให้มีท้องตราสั่งหัวเมืองให้จัดทำที่ประทับแรม ณ ที่ใด ๆ สุดแต่พอพระราชหฤทัยที่จะประทับที่ไหนก็ประทับที่นั่นบางทีก็ทรงเรือเล็กหรือเสด็จโดยสารรถไฟไปมิให้ใครรู้จักพระองค์การเสด็จประพาสต้นเริ่มมีครั้งแรกเมื่อรัตนโกสินทร์ศก 123 (พ. ศ. 2547) รายการเสด็จประพาสต้นครั้งนี้นายทรงอานุภาพได้เขียนจดหมายเล่าเรื่องประพาสต้นไว้โดยพิสดารดังที่พิมพ์ไว้ในตอนต้นสมุดเล่มนี้เหตุที่จะเรียกว่าประพาสต้นนั้นเกิดแต่เมื่อเสด็จในคราวนี้เวลาจะประพาสมิให้ใครรู้ว่าเสด็จไปทรงเรือมาดเก๋ง 4 แจวลำ 1 เรือนั้นลำเดียวไม่พอบรรทุกเครื่องครัวจึงทรงซื้อเรือมาดประทุน 4 แจวที่แม่น้ำอ้อมแขวงจังหวัดราชบุรีลำ 1 โปรดให้เจ้าหมื่นเสมอใจราชเป็นผู้คุมเครื่องครัวไปในเรือนั้นเจ้าหมื่นเสมอใจราชชื่ออ้นจึงทรงดำรัสเรียกเรือลำนั้นว่า “เรือตาอ้น” เรียกเร็ว ๆ เสียงเป็น “เรือต้น” เหมือนในบทเห่ซึ่งว่า “พระเสด็จโดยแดนชลทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย” ฟังดูก็เพราะดีแต่เรือมาดประทุนลำนั้นใช้อยู่ได้หน่อยหนึ่งเปลี่ยนเป็นเรือมาดเก๋ง 4 แจวอีกลำ 1 จึงโปรดให้เอาชื่อเรือต้นมาใช้เรียกเรือมาดเก่ง 4 แจวที่ 14 สร้างด้วยสแกนเนอร์สำหรับฉันลำที่เป็นเรือพระที่นั่งทรงอาศัยเหตุนี้ถ้าเสด็จประพาสโดยกระบวนเรือพระที่นั่งมาดเก๋ง 4 แจวโดยพระราชประสงค์จะมิให้ผู้ใดทราบว่าเสด็จไปจึงเรียกการเสด็จประพาสเช่นนี้ว่า “ ประพาสต้น” คำว่า“ ต้น” ยังมีที่ใช้อนุโลมต่อมาจนถึงเครื่องแต่งพระองค์ในเวลาทรงเครื่องอย่างคนสามัญเสด็จไปประพาสมิให้ผู้ใดเห็นแปลกประหลาดผิดกับคนสามัญดำรัสเรียกว่า “ทรงเครื่องต้น” ต่อมาโปรดให้ปลูกเรือนฝากระดานอย่างไทยเช่นพลเรือนอยู่กันเป็นสามัญขึ้นในพระราชวังดุสิตก็พระราชทานนามเรือนนั้นว่า“ เรือนต้น” ดังนี้การเสด็จประพาสต้นเมื่อราว ร.ศ.123 เป็นการสนุกยิ่งกว่าเคยเสด็จไปสำราญพระราชอิริยาบถแต่ก่อนมาที่จริงอาจกล่าวว่าเป็นประโยชน์แก่ราชการบ้านเมืองได้อีกสถาน 1 เพราะเสด็จเที่ยวประพาสปะปนไปกับหมู่ราษฎรเช่นนั้นได้ทรงทราบคำราษฎรกราบทูลปรารภกิจสุขทุกข์ซึ่งไม่สามารถจะทรงทราบได้โดยทางอื่นก็มากด้วยเหตุทั้งปวงนี้ต่อมาอีก 2 ปีถึง ร.ศ.123 (พ.ศ.2445) จึงเสด็จประพาสต้นอีกคราว 1 เสด็จประพาสต้นคราวนี้หาปรากฏมาแต่ก่อนว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดได้เขียนจดหมายเหตุไว้เหมือนเมื่อคราวเสด็จประพาสต้นครั้งแรกไม่จนถึง พ.ศ.2467 พระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฎทรงพระปรารภจะใคร่พิมพ์หนังสือประทานตอบแทนผู้ถวายรดน้ำสงกรานต์ตรัสปรึกษาสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้านิภานภดลกรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี-สมเด็จหญิงน้อยพระธิดาทรงค้นหนังสือเก่าซึ่งได้ทรงเก็บรวบรวมไว้พบสำเนาจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์โดยดำรัสให้องค์หญิงน้อยทรงเขียนไว้ในเวลาสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมชนกนาถเป็นตำแหน่งราชเลขาธิการฝ่ายในอยู่ในเวลาเมื่อเสด็จประพาสคราวนั้นจึงประทานสำเนามายังหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครและมีรับสั่งมาว่าหนังสือเรื่องสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ถึง 17 ปีแล้วผู้ซึ่งยังไม่ทราบเรื่องเสด็จครั้งนั้นมีมากด้วยกันถ้าแห่งใดควรจะทำคำอธิบายหมายเลขให้เข้าใจความยิ่งขึ้นได้ก็ให้กรรมการช่วยทำคำอธิบายหมายเลขด้วยจึงได้จัดการทำถวายตามพระประสงค์ทุกประการ 
         เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถและรอบรู้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองการปกครองเศรษฐกิจและสังคม ตลอดรัชสมัยได้ทรงพยายามฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ประเทศดำรงความเป็นเอกราชไว้ได้ได้ทรงพยายามพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุดหน้าทัดเทียมกับนานาอารยประเทศอีกทั้งเอาพระราชหฤทัย ใส่ในทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิดประดุจดังบิดาพึงมีต่อบุตรพระราชกรณียกิจและพระราชจริยาวัตรอันงดงามเป็นที่ประทับใจอย่างยิ่งแก่ประชาชนชาวไทยจึงทรงเป็นที่รักและบูชาของชนทุกชั้นและทุกยุคทุกสมัยสมดังพระสมัญญาภิไธยว่า “สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า” มีพระราชนิพนธ์ร้อยแก้วและหนังสือหลายเรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึงพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรในด้านต่าง ๆ อย่างเด่นชัดเช่นบทพระราชนิพนธ์ “เสด็จประพาสต้น” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อคราวเสด็จประพาสต้นเป็นครั้งที่ 2 ใน ร.ศ.125 (พ.ศ.2554) และครั้งที่ 3 ใน ร.ศ.127 (พ.ศ.2551) และพระนิพนธ์จดหมายเหตุเรื่อง “เสด็จประพาสต้น” ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงนิพนธ์ไว้เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นครั้งแรกใน ร.ศ.123 (พ.ศ.2547)      

บันทึกเหตุการณ์การเสด็จประพาสต้น

         เมืองกำแพงเพชร วันที่ 25 สิงหาคมรัตนโกสินทร์ศก 125 ข้าพระพุทธเจ้านายชัดมหาดเล็กเวรเดชหลานพระยาประธานนคโรทัยจางวางเมืองอุทัยธานีเดิมระบราชการในกระทรวงมหาดไทยเป็นตำแหน่งนายอำเภออยู่มณฑลนครชัยศรีข้าพระพุทธเจ้าป่วยเจ็บจึงกราบถวายบังคมลาออกจากหน้าที่ราชการขึ้นมารักษาตัวอยู่บ้านภรรยาที่เมืองกำแพงเพชร ข้าพระพุทธเจ้าได้สืบเสาะหาพระพิมพ์ของโบราณซึ่งมีผู้ขุดค้นได้ในเมืองกำแพงเพชรนี้ได้ไว้หลายอย่างพร้อมกันพิมพ์แบบทำพระ 9 แบบขอพระราชทานทูลเกล้าฯถวายงานข้าพระพุทธเจ้าได้สืบถามผู้เฒ่าผู้แก่ถึงตำนานพระพิมพ์เหล่านี้อันเป็นที่เชื่อถือกันในแขวงเมืองกำแพงเพชรสืบมา แต่ก่อนได้ความว่าพระพิมพ์เมืองกำแพงเพชรนี้มีมหาชนเป็นอันมากนิยมนับถือลือชามาช้านานว่ามีคุณานิสงส์แก่ผู้สักการบูชาในปัจจุบันหรือมีอานุภาพทำให้สำเร็จผลความปรารถนาแห่งผู้สักการบูชาด้วยอเนกประการสัณฐานของพระพุทธรูปพิมพ์นี้ตามที่มีผู้ได้พบเห็นแล้วมี 3 อย่างคือ พระลีลาศ (ที่เรียกว่าพระเดิน) อย่าง 1 พระยืนอย่าง 1 พระนั่งสมาธิอย่าง 1 วัตถุที่ทำเป็นองค์พระต่างกันเป็น 4 อย่างคือดีบุก (หรือตะกั่ว) อย่าง 1 ว่านอย่าง 1 หลวงอย่าง 1 ดินอย่าง 1 พระพิมพ์นี้ครั้งแรกที่มหาชนจะได้พบเห็นนั้นได้ในเจดีย์วัดพระธาตุฝั่งตะวันตกเป็นเดิมและการที่สร้างพระพิมพ์นี้ขึ้นนั้นตามสามัญนิยมว่า ณ กาลครั้งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วมีพระบรมกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระยาศรีธรรมาโศกราชเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ทรงมหิทธิเดชานุภาพแผ่ไปในทิศานุทิศตลอดจนถึงทวีปลังกาทรงอนุสรคำนึงในการสถาปนูปถัมภพระพุทธศาสนาจึงเสด็จสู่ลังกาทวีปรวบรวมพระบรมธาตุสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาสร้างเจดีย์บรรจุไว้ในคำกล่าวว่าแควน้ำปิงและน้ำยมเป็นต้นเป็นจำนวนพระเจดีย์ 84,000 องค์ครั้งนั้นพระฤษีจึงได้กระทำพิธีสร้างพระพิมพ์เหล่านี้ถวายแก่พระยาศรีธรรมาโศกราชเป็นการอุปการะในพระพุทธศาสนาครั้งแรกที่จะได้พบพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุและพระพิมพ์เหล่านี้เดิม ณ ประกาเอกศกจุลศักราช 1211 (นับโดยลำดับปีมาถึงศกนี้ 58 ปี) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังกรุงเทพฯขึ้นมาเยี่ยมญาติ ณ เมืองกำแพงเพชรนี้ได้อ่านแผ่นศิลาจารึกอักษรไทยโบราณที่ประดิษฐานอยู่ ณ พระอุโบสถวัดเสด็จได้ความว่ามีเจดีย์โบราณบรรจุพระบรมธาตุอยู่น้ำปิงตะวันตกตรงหน้าเมืองเก่าข้าม 3 ขณะนั้นพระยากำแพง (น้อย) ผู้ว่าราชการเมืองได้จัดการค้นคว้าพบวัดและเจดีย์สมตามอักษรในแผ่นศิลาจึงป่าวร้องบอกบุญราษฎรช่วยกันแผ้วถางและปฏิสังขรณ์ขึ้นเจดีย์ที่ค้นพบเดิมมี 3 องค์องค์ใหญ่ซึ่งบรรจุพระบรมธาตุอยู่กลางชำรุดบ้างทั้ง 3 องค์ภายหลังพระยากำแพง (อ่อง) เป็นผู้ว่าราชการเมืองแซงพอกะเหรี่ยง (ที่ราษฎรเรียกว่าพญาตะก่าได้ขออนุญาตรื้อพระเจดีย์สามองค์นี้ทำใหม่รวมเป็นองค์เดียว 
         ขณะที่เรือพระเจดีย์ 3 องค์นั้นได้พบตรุพระพุทธรูปพิมพ์และลานเงินจารึกอักษรขอมกล่าวตำนานการสร้างพระพิมพ์และลักษณะการสักการบูชาด้วยประการต่าง ๆ พระพิมพ์ชนิดนี้มีผู้ขุดค้นได้มีเมืองสรรคบุรี ครั้งหนึ่งแต่หามีแผ่นลานเงินไม่แผ่นลานเงินตำนานนี้กล่าวว่ามีเฉพาะแต่ในพระเจดีย์วัดพระธาตุฝั่งน้ำปิงตะวันตกแห่งเดียวมีสำเนาที่ผู้อื่นเขียนไว้ดังนี้

ตำนานที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จประพาสต้น

         ตำนานเมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิชัยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ ว่ายังมีฤษี 11 ตน  ฤษีเป็นใหญ่ 3 ตน ตนหนึ่งฤษีพิลาไลย ตนหนึ่งฤษีตาไฟ ตนหนึ่งฤษีตางัว เป็นประธานแก่ฤษีทั้งหลายจึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งนี้ประธานแก่ฤษีทั้งหลายจึงปรึกษากันว่าเราท่านทั้งนี้จะเอาอันใดให้แก่พระยาศรีธรรมาโศกราชฤษีทั้ง 3 จึงว่าแก่ฤษีทั้งปวงว่าเราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้ฉะนี้ฉลองพระองค์จึงทำเป็นเมฆพัดอทุมพรเป็นมฤตย์พิศม์อายุวัฒนะพระฤษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อยเป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลายสมณชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน 5,000 พรรษาพระฤษีองค์หนึ่งจึงว่าแก่ฤษีทั้งปวงว่าท่านจงไปเอาว่านทั้งหลายอันมีฤทธิ์เอามาให้สัก 1,000 เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษที่มีกฤษณาเป็นอาทิให้ได้ 1,000 ครั้นเสร็จแล้วฤษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวงให้ช่วยกันบดยาทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่งทำเป็นเมฆพัดสถานหนึ่งฤษีทั้ง 3 องค์นั้นจึงบังคับฤษีทั้งปวงให้เอาว่านทำเป็นผงเป็นก้อนประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวงให้ประสิทธิ์ทุกอันจึงให้ฤษีทั้งนั้นเอาเกสรและว่านมาประสมกันดีเป็นพระให้ประสิทธิ์แล้วด้วยเนาวะหรคุณประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่งถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้วจึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิดให้ระลึกถึงคุณพระฤษีที่ทำไว้นั้นเถิดฤษีไว้อุปเทศดังนี้ แม้อันตรายสักเท่าใดก็ดีให้นิมนต์พระใส่ศีรษะอันตรายทั้งปวงหายสิ้นแลถ้าจะเข้าการณรงค์สงครามให้เอาพระใส่น้ำมันหอมเข้าด้วยเนาวะหรคุณแล้วเอาใส่ผมศักดิ์สิทธิ์ความปรารถนา ถ้าผู้ใดจะประสิทธิ์แก่หอกดาบศัสตราวุธทั้งปวงเอาพระสรงน้ำหอมแล้วเสกด้วยอิติปิโสภกราติเสก 3 ที่ 7 ทีแล้วใส่ขันสัมฤทธิ์พิษฐานตามความปรารถนาเถิดถ้าผู้ใดจะใคร่มาตุคามเอาพระสรงน้ำมันหอมใส่ใบพลูทาประสิทธิ์แก่คนทั้งหลายถ้าจะสง่าเจรจาให้คนกลัวเกรงเอาใส่น้ำมันหอมหุงขี้ผึ้งเสกด้วยเนาวะหรคุณ 7 ทีถ้าจะค้าขายก็ดีมีที่ไปทางบกทางเรือก็ดีให้มนัสการด้วยพาหุงแล้วเอาพระสรงน้ำหอมเสกด้วยพระพุทธคุณอิติปิโสภกราติเสก 7 ที่ประสิทธิ์แก่คนทั้งหลายแลถ้าจะไม่สวัสดีสถาพรทุกอันให้เอาดอกไม้ดอกบัวบูชาทุกวันจะปรารถนาอันใดก็ได้ทุกประการแลถ้าผู้ใดพบพระเกสรก็ดีพระว่านก็ดีพระปรอทก็ดีก็เหมือนกันอย่าได้ประมาทเลยอานุภาพดังกำแพงล้อมกันภัยแก่ผู้นั้น  ถ้าจะให้ความศูนย์เอาพระสรงน้ำหอมเอาด้าย 11 เส้นชุบน้ำมันหอมและทำไส้เทียนตามถวายพระแล้วพิษฐานตามความปรารถนาเถิดถ้าผู้ใดจะสระหัวให้เขียนยันต์นี้ใส่ไส้เทียนเถิดแล้วว่านโมไปจนจบแล้วว่าพาหุงแล้วว่า อิติปิโสกการมหเชยุย์มงคลแล้วว่าพระเจ้าทั้ง 25 พระองค์เอาทั้งคู่กรมที่กุรุมุทกรมทเกเรเมเทตามแต่เสกเถิด 3 ที่ 7 ที่วิเศษนักถ้าได้รู้พระคาถานี้แล้วอย่ากลัวอันใดเลยท่านตีค่าไว้ควรเมืองจะไปรบศึกก็คุ้มได้สารพัดศัตรูแลข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานคัดต่อมาดังนี้
         ขากลับลงเรือซะล่าล่องไปขึ้นท้ายเมืองใหม่เดินขึ้นมาจนถึงพลับพลาที่เมืองใหม่นี้มีถนน 2 สายยาวขึ้นมาตามลำน้ำเคียงกันขึ้นมาสาย 3 อยู่ริมน้ำสาย 1 อยู่บนดอนแต่ถึงสายริมน้ำหน้าน้ำก็ไม่ท่วมบ้านเรือนก็เป็นอย่างลักษณะถนนบ้านหม้อเมืองเพชรบุรีหรือถนนบางกอกอย่างเก่าไม่ใช่ถนนเสาชิงช้าผู้คนก็แน่นหนาอยู่มาแต่ท้ายเมืองถึงพลับพลาประมาณ 20 เส้นเศษวันนี้ถ่ายรูปได้มากแต่สนุกเพราะได้เปลี่ยนแว่นเปลี่ยนทำนองถ่ายและถ่ายง่ายไม่เหมือนถ่ายในป่า 2 วันมาแล้วซึ่งยังไม่เคยถ่ายเลยล้างรูปไว้แต่กระจกใหญ่จะล้างหมดกลัวแห้งไม่ทันวันนี้ได้ตัดเกษาตามพระเทพาภรณ์ขึ้นมาจากบางกอกโดยทางรถไฟแล้วลงเรือมาแต่นครสวรรค์เพราะหาเวลาตัดผมไม่ได้ (พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 128-130)
ภาพที่ 1 ปากคลองสวนหมากดูทางบ้านผู้ใหญ่วัน.jpg

ภาพที่ 1 ปากคลองสวนหมากดูทางบ้านผู้ใหญ่วัน

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

ภาพที่ 2 หน้าบ้านพะโป๊กะเหรี่ยงที่คลองสวนหมาก.jpg

ภาพที่ 2 หน้าบ้านพะโป๊กะเหรี่ยงที่คลองสวนหมาก

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

ภาพที่ 3 พระเจดีย์พระยาตะก่าและพะโป๊สร้าง.jpg

ภาพที่ 3 พระเจดีย์พระยาตะก่าและพะโป๊สร้าง

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

การเสด็จประพาสต้นในเมืองกำแพงเพชร

         วันที่ 26 หมายจะยังไม่ตื่น แต่ก็มีคนเข้าไปปลุก 2 โมงเศษกินข้าวแล้วออกไปแจกของให้เลี้ยงดูและรับทั้งผู้หญิงผู้ชายหลวงพิพิธอภัยผู้ช่วย ซึ่งเป็นบุตรของพระยากำแพง (อ้น) ได้นำดาบฝักทองพระพุทธยอดฟ้าพระราชทานพระยากำแพง (นุช) เป็นบำเหน็จมือเมื่อไปทัพแขกแล้วตกมาแก่พระมาก (นาค) ซึ่งเป็นสามีแพงบุตรีพระยากำแพง (นุช) บุตรพระยากำแพง (นุช) และแพงภรรยาได้เป็นผู้ว่าราชการเมืองกำแพงต่อมา 4 คนคือ พระยากำแพง (บัว) พระยากำแพง (เถอน) พระยากำแพง (น้อย) พระยากำแพง (เกิด) ได้รับดาบเล่มนี้ต่อ ๆ กันมา ครั้นพระยากำแพง (เกิด) ถึงอนิจกรรมผู้อื่นนอกจากตระกูลนี้มาเป็นพระยากำแพงหลายคน ดาบตกอยู่แก่นายอันบุตรพระยากำแพง (เกิด) ซึ่งเป็นบิดาหลวงพิพิธอภัยภายหลังนายอ้นได้เป็นพระยากำแพง ครั้นพระยากำแพง (อ้น) ถึงแก่กรรมดาบจึงตกอยู่กับหลวงพิพิธอภัยบุตรผู้นำมาให้นี้พิเคราะห์ดูก็เห็นจะเป็นดาบพระราชทานจริงเห็นว่าเมืองกำแพงเพชรยังไม่มีพระแสงสำหรับเมืองเช่นแควใหญ่ไม่ได้เตรียมมาจึงได้มอบดาบเล่มนี้ไว้เป็นพระแสงสำหรับเมืองให้ผู้ว่าราชการรักษาไว้สำหรับใช้ในการพระราชพิธีแล้วถ่ายรูปพวกตระกูลเมืองกำแพงที่มาหาตั้งต้นคือท่านผู้หญิงทรัพย์ภรรยาพระยากำแพง (เกิด) อายุ 43 ปีจอเห็นจะเป็นปีจอฉศกจุลศักราช 1176 ยังสบายแจ่มใสพูดจาไม่หลงเดินได้เป็นต้นกับลูกที่มา 2 คนคือชื่อผึ้งภรรยาพระพล (เหลี่ยม) อายุ 73 ปีลูกคนสุดท้องชื่อภู่เคยไปทำราชการในวังครั้งรัชกาลที่ 4 แล้วมาเป็นภรรยาพระยารามรณรงค์ (หรุ่น) อายุ 64 ปีหลานหญิงชื่อหลาบเป็นภรรยาหลวงแพ่งอายุ 64 ปีหลานหญิงชื่อเพื่อนเป็นภรรยาพระพลอายุ 40 ปีหลานหญิงชื่อพันภรรยาหลวงพิพิธอภัยอายุ 84 ปีหลานชายหลวงพิพิธภัยอายุ 84 ปีเหลนที่มา 6 คนคือกระจ่างภรรยานายชิดอายุ 25 ปีเปล่งภรรยานายคลองอายุ 21 นิ้วบุตรีพระพลอายุ 17 ประคองอายุ 17 หวีดอายุ 16 บุตรหลวงพิพิธอภัยละอองบุตรีนายจีนอายุ 12 ปีโหลนได้ตัวมา 2 คนแต่ถ่ายคนเดียวแต่ที่ชื่อละเอียดบตรีโน้มอายุ 13 ปีได้ถ่ายรวมกันเป็น 5 ชั่วคนที่ถ่ายนี้กันออกเสียบ้างด้วยมาไม่ครบหมดด้วยกันลูกหลานเหลนโหลนซึ่งสืบมาแต่ท่านผู้หญิงทรัพย์ซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ 111 คนทเมอกำแพงนี้ประหลาดว่าเป็นที่มีไข้เจ็บชุมถึงถามชาวเมืองนั้นเองก็ไม่มีใครปฏิเสธสักคนหนึ่งว่าไข้ไม่ชุมและไม่ร้ายแต่ได้พบคนแก่ทั้งหญิงทั้งชายมากกว่าที่ไหน ๆ หมดกรมการคร่ำ ๆ อายุ 70-40 ก็ไม่หลายคนราษฎรตามแถวตลาดก็มีคนแก่มากถ้าจะหารือพวกกำแพงจริงคงบอกว่าพระพิมพ์ป้องกันด้วยนับถือกันมากพระเล่าให้ฟังว่าเวลาที่ไม่ได้เสด็จมาหากันนักดหายากอย่างยิ่งต่อเมื่อเสด็จมาจึงรู้ว่าพระพิมพ์มีมากถึงเพียงนี้ต่างคนต่างก็เตรียมกันอยากจะถวายก็เป็นความจริงเพราะผู้ที่มาถวายไม่ได้ถือหรือห่อมาตามปกติจัดมาในพานดอกไม้นั่งรายตามริมถนนได้เสมอทุกวันไม่ได้ขาดดูความนับถือกลัวเกรงเจ้านั้นมากอย่างยิ่งเพราะไม่ใคร่ได้เคยเฝ้าแทนแต่กิริยาอาการเรียบร้อยไม่เหมือนตำบลบ้านตามระยะทางซึ่งกล้าไปยืนอยู่คงมีผู้มากราบถึงตีนไม่ได้ขาดถ่ายรูปแล้วเสด็จลงเรือประพาสล่องไปขึ้นท่าหน้าวัดเสด็จเพื่อจะถ่ายรูปวัดเสด็จซึ่งเป็นที่จารึกบอกเรื่องพระพิมพ์แต่คำจารึกนั้นได้นำไปกรุงเทพฯเสียแล้ว) แล้วจึงเดินไปวัดคูยางซึ่งเป็นที่พระครูเจ้าคณะอยู่ผ่านถนนสายในถนนสายนี้งามมากได้ถ่ายรูปไว้และให้ชื่อถนนราชดำเนินวัดคูยางนี้มีลำดูกว้างประมาณ 5 วาหรือ 8 วาน้ำขังหอไตรและกุฏิปลูกอยู่ในน้ำแปลกอยู่ต่อข้ามดูเข้าไปจึงถึงบริเวณพระอุโบสถทางที่เข้าเป็นทิศตะวันตกด้านหลังหันหน้าออกทางทุ่งมีพระอุโบสถย่อมหลังหนึ่งวิหารใหญ่หลังหนึ่งก่อด้วยแลงแต่เสริมอิฐถือปูนหลังคาเห็นจะผิดรูปเตี้ยแบนไปหลังพระวิหารมีฐาน 3 ชั้นอย่างพระเจดีย์เมืองนี้แต่ข้างบนแปลงเป็นพระปรางค์เห็นจะแก้ไขขึ้นใหม่โดยฟังเสียแล้วไม่รู้ว่ารูปเดิมอย่างไรในพระวิหารมีพระพุทธรูปต่าง ๆ อยู่ข้างจะดี ๆ พระครูเลือกไว้ให้เป็นพระลีลาสูงศอกคืบกับอะไรอีกองค์หนึ่งต้นเต็มที่ไม่ชอบจึงได้ขอเลือกเอาเอง 4 องค์เป็นพระยืนกำแพงโบราณแท้ชั้นเขมรองค์ 1 พระนาคปรกขาดฐานเขาหล่อฐานเติมขึ้นไว้องค์ 1 พระกำแพงเก่าอีกองค์ 1 พระชินราชจำลองเหมือนพอใช้อีกองค์ 1 กลับจากวัดหยุดถ่ายรูปบ้างจนเที่ยงจึงได้ลงเรือเหลืองล่องลงมาไม่พบกรมหลวงประจักษ์ตกลงทำกับข้าวกันมาต่อจวนกับข้าวสำเร็จจึงได้พบแวะกินที่พลับพลาปากอ่างล่องเรือลงมาหยุดชั่วแต่พอถ่ายรูปเวลาพบเท่านั้นขาล่องนี้เรือใช้ตีกรรเชียงแต่ก็เป็นอันสักว่าตีเบาเสียกว่ากรรเชียงเรือเล็กๆอยู่ในลอยน้ำลงมาถึงที่พักแรมตำบลวังนางร้างแต่ที่แท้เขาเรียกวังอีร้างเรียกนางร้างถึงตาถือท้ายไม่เข้าใจเวลาทุ่มเศษ
ภาพที่ 4 แผนที่จังหวัดกำแพงเพชร.jpg

ภาพที่ 4 แผนที่จังหวัดกำแพงเพชร

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

ภาพที่ 5 ลูก หลาน เหลน โหลน ซึ่งมีมาแต่ท่านผู้หญิงทรัพย์.jpg

ภาพที่ 5 ลูก หลาน เหลน โหลน ซึ่งมีมาแต่ท่านผู้หญิงทรัพย์

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

ภาพที่ 6 วัดเสด็จอยู่ท้ายตลาด.jpg

ภาพที่ 6 วัดเสด็จอยู่ท้ายตลาด

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

ภาพที่ 7 พระวิหารหลวงวัดคูยาง.jpg

ภาพที่ 7 พระวิหารหลวงวัดคูยาง

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

ภาพที่ 8 ถนนสายในที่เรียกราชดำเนิน ถ่ายเวลาพลบ.jpg

ภาพที่ 8 ถนนสายในที่เรียกราชดำเนิน ถ่ายเวลาพลบ

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

ภาพที่ 9 ถนนเดิมสายนอก ถ่ายเวลาพลบ.jpg

ภาพที่ 9 ถนนเดิมสายนอก ถ่ายเวลาพลบ

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

ภาพที่ 10 ลองตีกันเชียงขาล่อง.jpg

ภาพที่ 10 ลองตีกันเชียงขาล่อง

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131

ภาพที่ 11 ล่องเรือเวลาพลบ.jpg

ภาพที่ 11 ล่องเรือเวลาพลบ

ที่มา : พระเทพปริยัติ, พระราชสารโมลี และคณะ, 2549, หน้า 131