ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฐานข้อมูล เรื่อง หลวงพ่อสว่าง วัดท่าพุทรา อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร"

จาก KPPStudies
ไบยังการนำทาง ไปยังการค้นหา
(สร้างหน้าด้วย "=='''ขัอมูลทั่วไป'''== หลวงพ่อสว่างมีนามเดิมว่า สว่าง เจ...")
 
แถว 32: แถว 32:
 
<p align = "center"> '''ภาพที่ 3''' พระครูวิบูลวชิรธรรม (หลวงพ่อสว่าง อุตตโร) (ชมรมพระเครื่องเมืองกำแพงเพชร, ม.ป.ป.) </p>
 
<p align = "center"> '''ภาพที่ 3''' พระครูวิบูลวชิรธรรม (หลวงพ่อสว่าง อุตตโร) (ชมรมพระเครื่องเมืองกำแพงเพชร, ม.ป.ป.) </p>
 
==='''ความชำนาญ/ความสนใจ'''===
 
==='''ความชำนาญ/ความสนใจ'''===
 +
คาถา
 +
          คาถาแคล้วคลาดของหลวงพ่อสว่าง วัดท่าพุทรา ซึ่งเป็นคาถาอีกบทหนึ่งที่ท่านจะใช้ประสิทธิลงในวัตถุมงคลของท่านทุกรุ่น ซึ่งพระคาถานี้หลวงพ่อสว่างท่านได้ถ่ายทอดให้หลวงพ่อเล็ก สีลาฑฺฒโณ หรือพระครูนิรันดร์ หลวงพ่อเล็กได้กล่าวว่า ให้นำไปท่องภาวนากัน ถึงไม่มีเหรีญปลอดภัยก็ไม่เป็นไร ท่องคาถานี้ใช้ได้เหมือนกัน โดยก่อนจะเดินทางใกล้ไกลหรือตื่นตอนเช้าก่อนออกจกบ้านหรือก่อนจะหลับนอน ให้ยกมือขึ้นพนม ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดา มารดา คุณครูบาอาจารย์ อันมีหลวงพ่อสว่าง วัดท่าพุทราเป็นที่สุดจากนั้นว่านะโม 3 จบ แล้วท่องว่า
 +
{| class="wikitable"
 +
|-
 +
| พุทธังคลาดแคล้ว
 +
|-
 +
| ธัมมังคลาดแคล้ว
 +
|-
 +
| สังฆังคลาดแคล้ว
 +
|-
 +
| พระพุทธเจ้าจะย่างบาท คลาดแคล้วด้วยนะโมพุทธายะ
 +
|}
 +
พระอริยสงฆ์เมืองกำแพงเพชร, 2560, ออนไลน์)
 
==='''ผลงานสำคัญ/ที่สร้างชื่อเสียง'''===
 
==='''ผลงานสำคัญ/ที่สร้างชื่อเสียง'''===
 
==='''ผลงาน/เกียรติคุณ/รางวัลอื่น ๆ'''===
 
==='''ผลงาน/เกียรติคุณ/รางวัลอื่น ๆ'''===
 
==='''แนวทางการปฏิบัติ/การดำเนินชีวิต'''===
 
==='''แนวทางการปฏิบัติ/การดำเนินชีวิต'''===

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:50, 22 มีนาคม 2565

ขัอมูลทั่วไป

         หลวงพ่อสว่างมีนามเดิมว่า สว่าง เจริญศรี เกิดเมื่อ วันอาทิตย์ที่ 17 มิ.ย.2426 ที่บ้านน้ำหัก ต.ท่างิ้ว อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ เมื่อเกิดได้เพียง 5 วัน มารดาก็เสียชีวิต ย่างเข้าสู่วัยเยาว์ อายุพอสมควรที่จะเล่าเรียนศึกษาได้ก็เริ่มศึกษาเล่าเรียนอักขระสมัย และหนังสืออักขระขอมเบื้องต้นจากขุนเจริญสวัสดิ์ อายุ 13 ขวบ บิดาเสียชีวิต เนื่องจากบิดาเป็นผู้มีความสามารถ เฉลียวฉลาด มีคนเคารพนับถือทั้งในหมู่บ้านและภูมิลำเนาใกล้เคียงต่อมาญาติสนิทได้นำไปฝากกับหลวงพ่อเผือก (พระครูบรรพโตปมญาณ) วัดหัวดงเหนือ ต.หัวดง อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ในสมัยนั้น วัดหัวดงเหนือเป็นสำนักเรียนอักขระสมัยมูลกัจจายน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ศึกษาเล่าเรียนมูลกัจจายน์ และหนังสืออักขระขอมอยู่ที่วัดหัวดงเหนือเป็นเวลานาน 7 ปี มีพระอาจารย์สด (ต่อมาได้เลื่อนฐานะเป็นพระครูสวรรค์วิถี) เป็นครูสอน ครั้นอายุ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันพุธที่ 3 ธ.ค.2445 ที่พัทธสีมาวัดขุนญาณ ต.คลองเมือง อ.กรุงเก่า จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพระญาณไตรโลก (สะอาด) วัดศาลาปูน จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์, พระวินัยธรศรี วัดศาลาปูนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดแพ วัดศาลาปูน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “อุตตฺโร” ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและบาลี อยู่ที่สำนักเรียนวัดศาลาปูนเป็นเวลา 2 ปี และได้กลับมาอยู่กับหลวงพ่อเผือก ที่วัดหัวดงเหนือ จ.นครสวรรค์ ตามเดิม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจากพระครูสวรรค์วิถี (พระอาจารย์สด) ก่อนย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดท่างิ้ว จ.นครสวรรค์ เป็นเวลา 2 พรรษา ต่อมาพระอาจารย์ปั้น เจ้าอาวาสวัดท่างิ้วได้มรณภาพ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสแทน (ชมรมพระเครื่องเมืองกำแพงเพชร, ม.ป.ป.)
ภาพที่ 1 พระครูวิบูลวชิรธรรม.jpg

ภาพที่ 1 พระครูวิบูลวชิรธรรม (หลวงพ่อสว่าง อุตตโร) (ชมรมพระเครื่องเมืองกำแพงเพชร, ม.ป.ป.)

ชื่อบุคคล

         พระวิบูลวชิรธรรม นามเดิม สว่าง นามสกุล เจริญศรี นามฉายา อุตตโร, หลวงพ่อสว่าง

ตำแหน่ง

         เจ้าอาวาส วัดคฤหบดีสงฆ์ ต.ท่าพุทรา อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร

วัน/เดือน/ปีเกิด

         วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2426 ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม

ภูมิลำเนา

         บ้านน้ำหัก ตำบลท่างิ้ว อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์

อาชีพ

         พระสงฆ์

ที่อยู่

         วัดคฤหบดีสงฆ์ ตั้งอยู่ที่บ้านท่าพุทรา หมู่ที่ 3 ตำบลท่าพุทรา อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร 62120 ห่างจากถนนสายพหลโยธินประมาณ 200 เมตร ถ้าเดินทางจากจังหวัดนครสวรรค์ไปทางเหนือตามถนนพหลโยธิน ทางวัดจะอยู่ทางขวามือระหว่างกิโลเมตรที่ 83-84 ถ้าเราเดินทางจากจังหวัดกำแพงเพชรไปทางใต้ตามถนนพหลโยธิน ทางเข้าวัดจะอยู่ทางซ้ายมือระหว่างกิโลเมตรที่ 37-38 

ข้อมูลเชิดชูเกียรติ

ชีวประวัติ/ความเป็นมา

         เมื่อหลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรม เกิดได้เพียง 5 วัน โยมมารดาของท่านก็ถึงแก่อนิจกรรม ได้มีแม่น้าเลี้ยงดูท่านจนเติบใหญ่ (แม่น้าก็คือภรรยาคนที่ 1 ของขุนเจริญสวัสดิ์) พอท่านมีอายุพอสมควรที่จะเล่าเรียนศึกษาได้ ท่านก็เริ่มศึกษาเล่าเรียนอักขระสมัย และหนังสืออักขระขอมเบื้องต้น จากขุนเจริญสวัสดิ์บิดาของท่าน พอท่านอายุได้ 13 ขวบ ขุนเจริญสวัสดิ์บิดาก็ถึงแก่อนิจกรรม พระวิบูลวชิรธรรมจึงเป็นผู้กำพร้า บิดา-มารดา แต่เยาว์วัย แต่ท่านก็พยายามประคองตัวประคองใจเชื่อฟังคำตักเตือนสั่งสอนของมารดาเลี้ยงเป็นอย่างดี เนื่องจากท่านอยู่กับมารดาเลี้ยงของท่านตลอดมา มารดาเลี้ยงของท่านก็เอ็นดูรักใคร่สงสารปราณีท่านเสมือนเป็นบุตรที่แท้จริง มีความประสงค์อยากจะให้หลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรม ได้รับการศึกษาชั้นสูงๆขึ้นไปอีก เพื่อจะได้มีความรู้เฉลียวฉลาด จะได้ดำเนินวิถีชีวิตตามเยี่ยงขุนเจริญสวัสดิ์ผู้บิดา เนื่องจากบิดาของท่านเป็นผู้มีความสามารถเฉลียวฉลาด มีคนเคารพนับถือทั้งในหมู่บ้านตำบลที่มีภูมิลำเนาอยู่และตำบลอำเภอไกล้เคียงทั่วไป มารดาเลี้ยงจึงได้นำพระวิบูลวชิรธรรมไปฝากกับหลวงพ่อเผือกหรือพระครูบรรพโตปมญาณ วัดหัวดงเหนือ ตำบลหัวดง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ สมัยนั้นนับว่าวัดหัวดงเหนือ เป็นสำนักเรียนอักขระสมัยมูลกัจจายน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังสำนักหนั่ง หลวงพ่อฯท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมูลกัจจายน์ และหนังสืออักขระขอมอยู่ที่วัดหัวดงเหนือ เป็นเวลานานประมาณ 7 ปี มีพระอาจารย์สด (ต่อมาได้เลื่อนฐานะเป็นพระครูสวรรค์วิถี) เป็นครูสอน พอหลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรมมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์มารดาเลี้ยงได้อนุญาตให้ไปศึกษาต่อที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมอบให้พระครูบรรพโตปมญาณ (หรือหลวงพ่อเผือก) วัดหัวดงเหนือ พระอาจารย์ของท่านเป็นผู้นำไป ทั้งได้มอบปัจจัยสี่ไปพอสมควรให้แก่พระครูบรรพโตปมญาณ (หรือหลวงพ่อเผือก) ไปเป็นจำนวนครบถ้วน เพื่อจับจ่ายใช้สอย เพื่อดำเนินการอุปสมบทหลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรมด้วย(ชมรมพระเครื่องเมืองกำแพงเพชร, ม.ป.ป.)
         หลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรม อุปสมบทเมื่อวันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2445 ตรงกับวันขึ้น 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ณ พัทธสีมาวัดขุนญาณ ตำบลคลองเมือง อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระญาณไตรโลกย์ (สะอาด) วัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยธรศรี วัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดแพ วัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระอนุสาวนาจารย์พระอุปัชฌาย์ ให้นามฉายาว่า “อุตตโร”
         เมื่อพระวิบูลวชริธรรมอุปสมบทแล้ว ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและบาลีอยู่ที่สำนักเรียนวัดศาลาปูนเป็นเวลา 2 ปี และได้กลับมาอยู่กับพระครูบรรพโตปมญาณ (หลวงพ่อเผือก) ที่วัดหัวดงเหนือ ตำบลหัวดง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ตามเดิม ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย จากพระอาจารย์สด(พระครูสวรรค์วิถี) ซึ่งเป็นอาจารย์เดิมอีกเป็นเวลา 2 พรรษา แล้วได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดท่างิ้ว อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์เป็นเวลา 2 พรรษา จากนั้นได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดเขาแก้ว (วัดมณีบรรพตวรวิหาร) จังหวัดตาก อีก 2 พรรษา แล้วได้ย้ายกลับมาอยู่ที่วัดท่างิ้วตามเดิมอีก ต่อมาเมื่ออาจารย์ปั้นเจ้าอาวาสวัดท่างิ้วได้มรณะภาพลง หลวงพ่อพระครูน้อย ขณะนั้นยังเป็นประทวนสมณะศักดิ์อยู่ ได้ตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่างิ้ว เมื่อได้เป็นเจ้าอาวาสแล้ว ได้ทราบข่าวว่าจังหวัดอุทัยธานีตั้งสำนักศาสนศึกษาขึ้น จึงได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสังกัดคีรีวงค์อุดมมงคลเขตร อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีอาจารย์ลพเป็นเจ้าอาวาส มีอาจารย์จ่อยเป็นครูสอน ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ที่วัดสังกัดคีรีวงค์ 1 พรรษา เมื่อเห็นว่ามีความรู้พอสมควรแล้วได้กลับมาอยู่ที่วัดท่างิ้วตามเดิม เพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์วัดท่างิ้ว และเพื่อจัดตั้งสำนักเรียนขึ้นที่วัดท่างิ้วต่อไป
         กลับมาอยู่ที่วัดท่างิ้วแล้ว ได้จัดข้อระเบียบปฏิบัติสำหรับพระภิกษุสามเณรภายในวัดให้เรียบร้อย ได้จัดการบูรณะซ่อมแซมกุฏิ ศาลาการเปรียญ พระอุโบสถให้เรียบร้อยดี ได้ตั้งศาลาศึกษาขึ้นที่วัดท่างิ้ว ได้ทำการสอนเอง มีพระภิกษุ สามเณร ศึกษามากพอสมควร คือประมาณปีละ 20 กว่ารูป สำหรับนักเรียนบ้านนอกในสมัยนั้น มีนักเรียนปีละ 20 กว่ารูป ก็นับว่ามากพอสมควร การสอบสนามหลังนั้นบางปีก็ไปสอบที่นครสวรรค์ บางปีก็ไปสอบที่วัดเขาแก้ว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาเมื่อมีการก่อสร้างมากขึ้น การสอนโรงเรียนก็ทำไม่ได้สะดวก จึงได้ฝึกอาจารย์แฉล้มให้เป็นผู้ช่วยสอนอีกรูปหนึ่ง ท่านก็ได้เอาใจใส่ช่วยสอนเป็นอย่างดี นับว่าสำนักเรียนวัดท่างิ้ว เป็นสำนักเรียนแห่งแรกของ อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ 
         ต่อมาในปี พ.ศ. 2468 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รั้งตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอขาณุวรลักษณ์บุรี กิ่งอำเภอแสนตอ จังหวัดกำแพงเพชร (สมัยนั้นอำเภอคลองขลุงยังเป็นอำเภอขาณุอยู่ อำเภอขาณุยังเป็นกิ่งอำเภอแสนตอ ต่อมาราวปี พ.ศ.2493 จึงเปลี่ยนอำเภอแสนตอเป็นอำเภอขาณุวรลักษบุรีมาจนถึงทุกวันนี้) แต่ก็ยังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลท่างิ้วอยู่อีกด้วย และยังอยู่ที่วัดท่างิ้วตามเดิม การขึ้นมาราชการคณะสงฆ์ที่อำเภอขาณุวรลักษบุรี ในสมัยนั้นมีความลำบากมาก เพราะการคมนาคมไม่สะดวกเช่นทุกวันนี้ โดยมากก็จ้างเรือแจวบ้าง เรือถ่อบ้าง บางครั้งก็มารถงาน บางครั้งก็เดินเท้า ถ้าเป็นหน้าพรรษาก็มาค้างคราวละ 5-6 คืนแล้วก็กลับ ถ้าขึ้นหน้าแล้งก็มาค้างมากคืนหน่อย ส่วนมากค้างคืนที่วัดศรีภิรมณ์ อำเภอคลองขลุง ท่านได้ปฏิบัติดังนี้ตลอดมา
ภาพที่ 2 พระครูวิบูลวชิรธรรม.jpg

ภาพที่ 2 พระครูวิบูลวชิรธรรม (หลวงพ่อสว่าง อุตตโร) (ชมรมพระเครื่องเมืองกำแพงเพชร, ม.ป.ป.)

         ต่อมาก็ได้รับตราตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ใน พ.ศ.2468 ครั้นถึงปี พ.ศ.2470 ได้รับตราตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอขาณุวรลักษบุรี และกิ่งอำเภอแสนตอ จังหวัดกำแพงเพชร ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูวิบูลวชิรธรรม” ได้รับตราตั้งให้เป็นกรรมการตรวจประโยคนักธรรมชั้นตรีในสนามหลวง ได้รับเลื่อนฐานะเป็นพระคูชั้นเอกแล้วก็ได้ขยายสำนักเรียนให้มีมากขึ้นได้อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณะให้มีข้อวัตรปฏิบัติดีขึ้น ได้เทศนาสั่งสอนประชาชนให้ประพฤติดีมีศีลธรรมประจำใจ เอาใจใส่ในการก่อสร้างเสนาสนะต่างๆมากมาย ได้ขออนุญาตเปิดสนามสอบธรรม ขึ้นที่วัดสว่างอารมณ์ กิ่งอำเภอแสนตอ ครั้นทางราชการได้แยกอำเภอขาณุวรลักษบุรี เป็นอำเภอคลองขลุง กิ่งอำเภอแสนตอเป็นอำเภอขาณุวรลักษบุรีแล้ว โดยมีเจ้าคณะอำเภอทั้งสองอำเภอแล้ว ได้แยกสนามสอบธรรม มาสอบที่วัดศรีภิรมณ์อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร ต่อมาในปี พ.ศ.2490 ได้รับใบตราตั้งให้เป็นกรรมการศึกษาประจำตำบลคลองขลุง 
         เมื่อ พ.ศ.2500 คณะสงฆ์อำเภอคลองขลุงและประชาชนชาวตำบลท่าพุทรา ได้พร้อมกันไปอาราธนาพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรม ให้ขึ้นมาประจำอยู่ที่วัดคฤหบดีสงฆ์ตำบลท่าพุทรา อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อจะได้บูรณะวัดให้ดีขึ้น เพราะว่าวัดคฤหบดีสงฆ์ได้ชำรุดทรุดโทรมลงอย่างหนัก ดังนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรมจึงได้มาประจำอยู่ที่วัดคฤหบดีสงฆ์ จนตราบเท่าถงอวสานแห่งชีวิตของท่าน เมื่อได้ขึ้นมาอยู่ที่วัดคฤหบดีสงฆ์แล้วก็ได้ก่อสร้าง กุฏิ อยู่ของท่านก่อน แล้วก็สร้างโรงเรียนปริยัติธรรมขึ้นหนึ่งหลัง สร้างศาลาการเปรียญ สร้างกำแพงวัดด้านตะวันออก สร้างมณฑป สร้างกำแพงวัดรอบหมดทั้ง 4 ด้าน สร้างพระอุโบสถ สร้างน้ำประปก สร้างถนนภายในวัด (สร้างเป็นคอนกรีต) สร้างเมรุ (ที่เผาศพ) สร้างศาลาธรรมสังเวช สร้างซุ้มประตู และซ่อมพระวิหาร ซ่อมพระพุทธรูปในพระวิหาร พูดได้ว่าสิ่งก่อสร้างภายในวัดคฤหบดีสงฆ์ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่หลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรมได้สร้างขึ้นใหม่ทั้งนั้น
         พูดถึงด้านพระภิกษุสามเณร ได้วางระเบียบ การทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น การทำอุโบสถสังฆกรรมให้มีตลอดปีมิได้ขาด ได้ตั้งสำนักศึกษาขึ้นภายในวัด เพื่อให้พระภิกษุสามเณะได้ศึกษาเล่าเรียนกัน ได้ย้ายสำนักสอบธรรมสนามหลวงจากวัดศรีภิรมณ์ มาสอบที่วัดคฤหบดีสงฆ์ตลอดมาจนทุกวันนี้ พระภิกษุสามเณรภายในวัดมีความประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนที่ได้พบเห็นทั่วไป เมื่อ พ.ศ.2501 ได้รับพระราชทานสมณสศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระครูวิบูลวชิรธรรม”
         ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2520 ท่านก็ได้เริ่มป่วยมีอาการไอมากผิดปกติ ท่านก็ได้เรียกหมอชาวบ้านมาฉีดยาให้ และหลวงพ่อท่านมีความรู้ทางการแพทย์โบราณเป็นอย่างดี ท่านก็ได้ใช้ทายกไปนำเครื่องยาสมุนไพรมาต้มยาฉันเอง อาการไอก็ทุเลาลงเท่าที่ควร พอวันที่ 19 มกราคม 2520 เวลาบ่าย นายแพทย์ ปรีชา มุสิกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกำแพงเพชร ได้มาเยี่ยมนมัสการหลวงพ่อที่วัดคฤหบดีสงฆ์ ตำบลท่าพุทรา ก็มาพบอาการไอของหลวงพ่อท่าน ไอมากผิดปกติจึงได้อาราธนานิมนต์หลวงพ่อไปตรวจฉายเอ๊กซ์เรย์ที่โรงพยาบาลกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ในวันที่ 19 มกราคม 2520 เวลา 15.00 น. หลวงพ่อก็ออกเดินทางจากวัดคฤหบดีสงฆ์โดยรถยนต์ของนายแพทย์ปรีชา มุสิกุล ดังกล่าว พอถึงโรงพยาบาลกำแพงเพชร แพทย์ก็เริ่มฉายเอ๊กซ์เรย์ตรวจพบว่าปอดข้างขวาเป็นแผล แพทย์ลงความเห็นว่าให้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หลวงพ่อก็อยู่รักษาตัวตามความเห็นของแพทย์ ในการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกำแพงเพชรนั้นก็ได้มีพระภิกษุวัดคฤหบดีสงฆ์ผลัดเปลี่ยนกันไปเป็นเวรรับใช้วันละ 2-3 องค์ และทายกอีก 1-2 คน พระที่อยู่ประจำมากกว่าทุกองค์ ก็มีพระสาคร พระประสงค์ ทายกที่ประจำอยู่กับหลวงพ่อก็มี นายจอง บุญงาม ส่วนนายแพทย์ปรีชา มุสิกุล ก็มาเยี่ยมเสมอๆ เกือบทุกวัน ขณะหลวงพ่อรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น อาการไอทุเลาลงบ้าง แต่ท่านฉันอาหารไม่ได้ มีอาการอ่อนเพลีย แต่หลวงพ่อไม่เคยพูดให้ใครฟังเลยว่าท่านหนักใจ มีประชาชนชาวอำเภอคลองขลุงทุกตำบลไปเยี่ยมกราบนมัสการ ท่านก็ให้ศีลให้พรทุกคน รวมทั้งประชาชนต่างอำเภอ ต่างจังหวัดไกล้ไกลไปกราบนมัสการเยี่ยมท่านก็สอบถามว่ามาจากไหน เขาก็บอกว่าอยู่นครสวรรค์บ้าง ชัยนาทบ้าง อุทัยบ้าง ท่านก็บอกว่าขอบใจ ขอให้ทุกคนเจริญๆเถอะ เจ็บป่วย ตาย เป็นของธรรมดา มนุษย์ทุกรูป ทุกนาม ก็ต้องเจอ ต้องพบ ไม่เลือกชั้นวรรณะ ทุกคนจะหลีกเลี่ยงความตายหาได้ไม่ หลวงพ่อมีสติดีอยู่ตลอดเวลา แม้ท่านนอนรักษาตัวอยู่ก็ให้พระภิกษุที่เฝ้าปฐมพยาบาลรับใช้อยู่จุดธูปเทียนบูชาพระทุกคืนมิได้ขาด
         แต่ความจริงตามที่หลวงพ่อพูดว่า ความตายทุกรูป ทุกนาม ทุกชั้นวรรณะหนีไม่พ้น ต้องประสพ ช้าหรือเร็วเท่านั้น แม้แต่อาตมาเองก็ต้องเจอ แต่จะเจอวันไหนเท่านั้น เมื่อผู้ไปเยี่ยมถามว่าเป็นอย่างไรบ้างหลวงพ่อ ท่านก็ตอบว่า “วันนี้ดีขึ้น” “เบาแล้ว” กำลังใจแข็ง ครั้นถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2520 เวลาเช้าพอตื่นขึ้นท่านบอกว่าวันนี้ดีกว่าทุกวัน รู้สึกสบายใจ ขอน้ำล้างหน้าพระหยิบให้ท่านก็รับเอาไปเสกแล้วก็ล้างหน้า แล้วพูดว่าอยากฉันน้ำมนต์ร้อยปีที่วัดคฤหบดีสงฆ์ จึงใช้ให้นายจำนงค์ คชวารี ไปเอา คนไปเอาน้ำมนต์ยังไม่กลับเลย ขณะนั้นเป็นเวลา 14.00 น. เศษ ท่านพูดว่าใจคอไม่ดี บอกให้พระสาครกับพระประสงค์จุดธูปเทียนแล้วตัวข้าพเจ้า (จ.ส.ต.สังคม คชฤทธิ์) ก็วิ่งไปตามหมอ หมอก็รีบมากันเป็นจำนวนหลายนายที่จำได้มีหมอสมาน หมอไพโรจน์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเองฯ และมีนายแพทย์อะไรอีก 2 นาย พยาบาลอีก 3 คนไม่ทราบชื่อ ได้มาช่วยกันปฐมพยาบาลและฉีดยา ตลอดทั้งหลวงพ่อพระครูนิยุติธรรมศาสตร์ เจ้าคณะอำเภอบรรพตพิสัย อยู่ในห้องนั้นด้วย พระสมุห์เสาร์ วัดคลองเจริญก็อยู่ด้วย ครั้นเวลา 14.30 น. ท่านก็สิ้นลมหายใจ ขณะที่ท่านนอนตะแคงพนมมือด้วยอาการอันสงบ มิได้ดิ้นรนกระวนกระวายแต่ประใด ฉะนั้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 เวลา 14.30 น. ตรงกับวันอังคารขึ้น 11 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเส็ง เป็นวันเวลาที่ท่านศิษยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือสักการะบูชาในท่านไปแล้วไปอย่างไม่มีวันกลับ เฉพาะพระภิกษุสงฆ์ประชาชนในเขตอำเภอคลองขลุง นับว่าเศร้าโศกอาดูรอย่างยิ่ง ขาดที่พึ่งทางใจอันใหญ่หลวง (ชมรมพระเครื่องเมืองกำแพงเพชร, ม.ป.ป.)
ภาพที่ 3 พระครูวิบูลวชิรธรรม.jpg

ภาพที่ 3 พระครูวิบูลวชิรธรรม (หลวงพ่อสว่าง อุตตโร) (ชมรมพระเครื่องเมืองกำแพงเพชร, ม.ป.ป.)

ความชำนาญ/ความสนใจ

คาถา
         คาถาแคล้วคลาดของหลวงพ่อสว่าง วัดท่าพุทรา ซึ่งเป็นคาถาอีกบทหนึ่งที่ท่านจะใช้ประสิทธิลงในวัตถุมงคลของท่านทุกรุ่น ซึ่งพระคาถานี้หลวงพ่อสว่างท่านได้ถ่ายทอดให้หลวงพ่อเล็ก สีลาฑฺฒโณ หรือพระครูนิรันดร์ หลวงพ่อเล็กได้กล่าวว่า ให้นำไปท่องภาวนากัน ถึงไม่มีเหรีญปลอดภัยก็ไม่เป็นไร ท่องคาถานี้ใช้ได้เหมือนกัน โดยก่อนจะเดินทางใกล้ไกลหรือตื่นตอนเช้าก่อนออกจกบ้านหรือก่อนจะหลับนอน ให้ยกมือขึ้นพนม ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดา มารดา คุณครูบาอาจารย์ อันมีหลวงพ่อสว่าง วัดท่าพุทราเป็นที่สุดจากนั้นว่านะโม 3 จบ แล้วท่องว่า
พุทธังคลาดแคล้ว
ธัมมังคลาดแคล้ว
สังฆังคลาดแคล้ว
พระพุทธเจ้าจะย่างบาท คลาดแคล้วด้วยนะโมพุทธายะ

พระอริยสงฆ์เมืองกำแพงเพชร, 2560, ออนไลน์)

ผลงานสำคัญ/ที่สร้างชื่อเสียง

ผลงาน/เกียรติคุณ/รางวัลอื่น ๆ

แนวทางการปฏิบัติ/การดำเนินชีวิต