ฐานข้อมูล เรื่อง ระบำชากังราว
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อการแสดง
ระบำชากังราว
ชื่อเรียกอื่น ๆ
-
ประเภทการแสดง
1. ระบำแบบดั้งเดิมหรือระบำมาตรฐาน ได้แก่ ระบำที่ฝึกหัดกันเพื่อให้เป็นแบบมาตรฐานที่มีมาแต่ครั้งโบราณ เช่น ระบำสี่บท หรือบางครั้งเรียกว่า "ระบำใหญ่" ต่อมามีผู้ประดิษฐ์ระบำซึ่งเลียนแบบระบำสี่บทขึ้นอีกหลายชุด และถือว่าเป็นระบำมาตรฐานที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ระบำย่องหงิด ระบำดาวดึงส์ ระบำกฤดาภินิหาร ฯลฯ การแต่งกายประเภทระบำมาตรฐาน ส่วนใหญ่จะแต่งกายในลักษณะที่เรียกว่า "ยืนเครื่อง" 2. ระบำปรับปรุง หมายถึงระบำที่ได้ปรับปรุงขึ้นใหม่ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมต่อการนำไปใช้ในโอกาสต่างๆ แยกได้เป็น - ปรับปรุงจากแบบมาตรฐาน หมายถึงระบำที่คิดประดิษฐ์ขึ้นโดยยึดแบบและลีลา ตลอดจนความสวยงามในด้านระบำไว้ท่าทางลีลาที่สำคัญยังคงไว้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้งามขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อความเหมาะสมกับสถานที่ที่นำไปแสดง - ปรับปรุงจากพื้นบ้าน หมายถึง ระบำที่คิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นจากแนวทางความเป็นอยู่ของคนพื้นบ้าน การทำมาหากิน ขนบธรรมเนียมประเพณี ในแต่ละท้องถิ่นมาแสดงออกในรูประบำ เพื่อเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นของตน เช่น เซ้งบั้งไฟ เต้นกำรำเคียว ระบำงอบ ระบำกะลา รองเง็ง ฯลฯ - ปรับปรุงจากท่าทางของสัตว์ หมายถึงระบำที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ตามลักษณะลีลาท่าทางของสัตว์ชนิดต่าง ๆ บางครั้งอาจนำมาใช้ประกอบการแสดงโขน ละคร บางครั้งก็นำมาใช้เป็นการแสดงเบ็ดเตล็ด เช่น ระบำนกยูง ระบำนกเขา ระบำมฤครำเริง ระบำบันเทิงกาสร เป็นต้น - ปรับปรุงตามเหตุการณ์ต่างๆ หมายถึง ระบำที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใช้ตามโอกาสที่เหมาะสม เช่น ระบำพระประทีป ระบำโคมไฟ ประดิษฐ์ขึ้นใช้แสดงในวันนักขัตฤกษ์ เป็นต้น ระบำประเภทปรับปรุงขึ้นใหม่นี้ ลักษณะท่ารำจะไม่ตามตัวมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ ตัวบุคคล ตลอดจนฝีมือ และความสามารถของผู้ประดิษฐ์ท่าระบำ รำ หมายถึง การแสดงที่มุ่งความงามของการร่ายรำ หรือการแสดงลีลาท่าทางของผู้รำหมายถึงการแสดงนาฏศิลป์ที่จำนวนมากกว่า 2 คน ความมุ่งหมายของการแสดงงอยู่ที่ความงามที่มีความพร้อมเพรียงในการแสดงชนเผ่า หมายถึงชาติพันธุ์ทึ่มีอยู่ในพื้นที่อำเภอคลองลาน
โอกาสที่ใช้ในการแสดง
-
ผู้คิดค้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์เยาวลักษณ์ ใจวิสุทธิ์หรรษา
สถานที่ริเริ่ม/สถานที่จัดแสดง
-
ข้อมูลการแสดง
ประวัติความเป็นมา
จังหวัดกำแพงเพชร เป็นเมืองเก่าที่นับว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวารวดี เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณหลายเมือง เช่น เมืองชากังราว เมืองนครชุม เมืองไตรตรึงษ์ เมืองเทพนครและเมืองคณฑี นอกจากนี้เมืองกำแพงเพชร ยังเป็นเมืองที่สองที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ครองเมือง มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยา- วชิรปราการ” ต่อมาในปีพ.ศ.2459 ได้เปลี่ยนเมืองกำแพงเพชรเป็นจังหวัดกำแพงเพชร ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัยมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง เดิมเรียกชื่อว่า “เมืองชากังราว” และมีเมืองบริวารรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น เมืองไตรตรึงษ์ เมืองเทพนคร ฯลฯ การที่กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านรับศึกสงครามในอดีตอยู่เสมอ จึงเป็นเมืองยุทธศาสตร์ มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น กำแพงเมือง คูเมือง ป้อมปราการ วัดโบราณ มีหลักฐานให้สันนิษฐานว่า เดิมเคยเป็นที่ตั้งของเมือง 2 เมือง คือ เมืองชากังราวและเมืองนครชุม โดยเมืองชากังราวสร้างขึ้นก่อน ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง พระเจ้าเลอไท กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์สุโขทัยเป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.1890 ต่อมาสมัยพระเจ้าลิไท กษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์สุโขทัยได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิงคือ “เมืองนครชุม” สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงบันทึกเรื่องกำแพงเมืองไว้ว่า “เป็นกำแพงเมืองที่เก่าแก่ มั่นคง ยังมีความสมบูรณ์มาก และเชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันจังหวัดกำแพงเพชรเป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง เพราะมีโบราณสถานเก่าแก่ ซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงหลายแห่งรวมอยู่ใน “อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร” ที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534 รูปแบบการสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์งานด้านนาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ที่สามารถสะท้อนปรัชญา แนวคิด บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นหรือท้องถิ่นได้อย่างชัดเจน แต่การสร้างสรรค์งานด้านนาฏศิลป์ก็ต้องมีรูปแบบที่บรมครูด้านนาฏศิลป์ได้วางรากฐานไว้อย่างประณีตงดงาม มีขนบปฏิบัติที่ต้องนำมาเป็นมาตรฐานการสร้างงาน เช่น องค์ประกอบของการแสดงแต่ละประเภท ระบำ รำ ฟ้อนหรืองานสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงด้านอื่น ๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความมุ่งหมายของผู้สร้างผลงาน จะโดยจุดมุ่งหมายเพื่อความงานด้านใดก็ตาม งานที่สร้างสรรค์ขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อวงการนาฏศิลป์ต่อไป นาฏศิลป์ไทย บรมครูด้านนาฏศิลป์ได้ให้ความหมายอยู่หลายประเด็น แต่โดยความหมายรวมคือ การร่ายรำของโขน ละคร ระบำ รำ ฟ้อน เป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างอ่อนช้อย ประณีต งดงาม มีแบบแผน นาฏศิลป์ไทยยังมีบทบาทมากมายในสังคม การดำเนินชีวิตของมนุษย์บางโอกาสมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ โดยนำการแสดงนาฏศิลป์มาใช้ประกอบงานในโอกาสต่าง ๆ เช่น งานมงคล งานอวมงคล หรือตามโอกาสที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสร้างความสามัคคีในชุมชน ในท้องถิ่นและสามารถบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและของชาติได้อย่างเด่นชัด ระชำชากังราว มีแนวความคิดการประดิษฐ์โดยนำท่ารำจากบรมครูด้านนาฏศิลป์นำมาเป็นต้นแบบในการสร้างชุดการแสดง เช่น การนำท่ารำมาจากท่ารำในรำแม่บท ท่ารำที่นำมาจากเพลงช้า-เพลงเร็ว และการคิดประดิษฐ์ท่ารำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะขึ้นใหม่ มาเรียงท่ารำให้เกิดความงาม ความประณีตเป็นเอกลักษณ์เฉพาะชุดการแสดง และสามารถนำไปใช้แสดงเป็นชุดการแสดงประจำถิ่นจังหวัดกำแพงเพชร องค์ประกอบของการแสดง - เพลง - ท่ารำ - เครื่องแต่งกาย - การแปรรูปแถว - นักแสดง - นักดนตรีบรรเลงประกอบการแสดง การสร้างสรรค์ระบำทุกชุดการแสดง สิ่งสำคัญที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ คือ เรื่องเพลงประกอบการแสดง ระบำชากังราว ผู้ประพันธ์ครั้งแรก อาจารย์ศิริชัยชาญ ฟักจำรูญ ขณะนั้นท่านเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์กรุงเทพ ได้ประพันธ์ทำนองเพลงขึ้นใหม่ ให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะระบำชากังราว บรรเลงเพลงโดยใช้วงมโหรีโบราณ สำหรับเครื่องแต่งกายได้นำรูปแบบโดยการถอดแบบและออกแบบมาจากรูปั้นเทวสตรี ที่ปรากฏในพิพิธภัณฑสถานจังหวัดกำแพงเพชร และออกแบบให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของการแสดงชุดระบำชากังราว ดังรายละเอียดที่จะได้กล่าวไว้ในบทนี้ จะเห็นได้ว่าระบำชากังราว เป็นการแสดงที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะ เพลงได้แต่งขึ้นใหม่ ตั้งชื่อเพลงใหม่ว่า เพลงชากังราว ตามชื่อเรียกขานเมืองเก่ากำแพงเพชรว่าเมืองชากังราว ทำนองเพลงเลียนทำนองเพลงนางนาคเป็นพื้นแต่มีความแตกต่าง ฟังแล้วไพเราะเป็นเพลงอัตรา 2 ชั้น และชั้นเดียว ท่วงทำนองช่วงช้าอัตราจังหวะ 2 ชั้น และบรรเลงต่อด้วยเพลงชั้นเดียว ในปัจจุบันใช้วงมโหรีโบราณมีเสียง ซอสามสายและกระจับปี่ ทำให้ทำนองเพลงมีความอ่อนหวานไพเราะจับใจ
อุปกรณ์ประกอบ
-
ขั้นตอน/วิธี/กระบวนการ
ด้านวิชาการ ได้นำใช้เป็นหลักสูตรท้องถิ่นวิชานาฏศิลป์และถ่ายทอดความรู้ให้กับครูนาฏศิลป์ในเขตพื้นที่จังหวักำแพงเพชร ด้านงานวิจัย การนำการแสดงระบำชากังราวไปต่อยอดการวิจัยการจัดทำของที่ระลึกโดยการนำไปทำรูปภาพนูนต่ำและการทำตุ๊กตาระบำชากังราวเพื่อเป็นของที่ระลึกประจำจังหวัดกำแพงเพชร กลายเป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์โดยมีอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรเป็นแหล่งโบราณสถานที่สำคัญ ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 และนอกจากนี้จังหวัดกำแพงเพชรยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย เช่น อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อุทยานแห่งชาติคลองลาน และอุทยานแห่งชาติ คลองวังเจ้า รวมถึงมีเทศกาลและงานประเพณีประจำปีที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ได้แก่ งานประเพณีนพพระ-เล่นเพลง งานประเพณีสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชร ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากมายที่เดินทางมาเยี่ยมชมในแต่ละปีจึงได้ทำการศึกษาเพื่อพัฒนาสินค้าที่ระลึกของจังหวัดกำแพงเพชร “ระบำชากังราว”เป็นสินค้าที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของจังหวัดกำแพงเพชรได้ และได้ข้อสรุปจากการศึกษาว่า ตุ๊กตาระบำชากังราว ควรจัดทำให้เป็นสินค้าที่ระลึกชนิดหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของจังหวัดกำแพงเพชร จากผลการศึกษาดังกล่าว ทำให้คณะผู้วิจัยสนใจที่จะพัฒนาสินค้าที่ระลึกตุ๊กตาระบำชากังราวสู่สินค้าที่ระลึกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดกำแพงเพชร โดยวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการผลิตงานเพื่อเป็นการพัฒนาสินค้าที่ระลึกของจังหวัดกำแพงเพชร ประโยชน์ที่ได้รับ เป็นของที่ระลึกที่เป็นเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัย และจังหวัดกำแพงเพชร เป็นการพัฒนาสินค้าที่ระลึกของจังหวัดกำแพงเพชร เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดกำแพงเพชร
ท่าการแสดงจำเพาะ
ท่ารำ การแสดงระบำชากังราวเป็นการแสดงที่ไม่มีเนื้อร้องการสื่อภาษาท่ารำจึงมีความยากในการสร้างสรรค์ผลงาน แนวคิดในการประดิษฐ์ท่ารำเนื่องจากแนวคิดหลักเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดกำแพงเพชรท่ารำต้องมีเอกลักษณ์ประจำถิ่นและโดดเด่นจึงนำท่ารำหลักมากจากพุทธลีลาต่าง ๆ และนำท่ารำทีมีลักษณะที่สวยงามที่บรมครูด้านนาฏศิลป์ได้สร้างสรรค์ไว้ด้วยความประณีต มาเรียงร้อยท่ารำให้สอดคล้อง ลักษณะการใช้ท่ารำในการแสดงระบำชากังราว มีหลายท่ารำย่อย เช่น ท่ารำ ชะนีร่ายไม้ ท่าปางลีลา ท่าปางประทานพร ปฏิบัติท่ารำสลับกัน 8 จังหวะ นับเป็น 1 ท่าใหญ่ ในการออกแบบท่ารำ การเคลื่อนไหวในการแสดงต้องนิ่มนวล สง่างาม เพราะท่ารำหลักที่นำมาใช้ในการสร้างผลงานคือ ท่าเปิดโลก ท่าสัตยาธิษฐาน ท่าประทานพร ท่าลีลา และนำท่ารำที่นำภาษาท่า จากเพลงแม่บทที่บรมครูทางด้านนาฏศิลป์ได้สร้างสรรค์ไว้ นำมาใช้ประกอบการประดิษฐ์ท่ารำเช่น ท่าอำไพ ท่าภมรเคล้า ท่านางนอน ท่าบัวชูฝัก ท่าพรหมสี่หน้า มาเรียงร้อยเชื่อมโยงกับท่ารำหลักในการออกแบบท่ารำให้เกิดความงามตามลักษณะการประดิษฐ์ท่ารำด้านนาฏศิลป์ไทย การออกแบบท่ารำ ได้นำภาษาท่าทางของนาฏศิลป์ไทยมาใช้ในการประดิษฐ์ท่ารำและได้แนวคิดการนำท่าทางจากพุทธลีลาที่เป็นลักษณะเด่น เช่น ท่าปางลีลา ปางประทานพร ปางเปิดโลก นำมาคิดประดิษฐ์เป็นนาฏลีลาท่ารำที่สวยงาม ดังภาพที่ 1 และ 2 โดยชุดการแสดงระบำชากังราวมีท่ารำประกอบ ดังนี้
ภาพที่ 1 การออกแบบท่ารำ
และท่ารำที่นำมาจากแม่ท่าในเพลงแม่บท ประกอบด้วย
ภาพที่ 2 การออกแบบท่ารำ(ต่อ)
ข้อมูลผู้แสดง
เพศผู้แสดง
ใช้ผู้แสดง 9 ตัว สามารถแสดงได 7 คน 9 คน 5 คน 3 คน
จำนวนผู้แสดง
จำนวนนักแสดง ลักษณะการแสดงใช้ผู้แสดง 9 ตัว มีการตั้งซุ้มเพื่อให้เกิดความงามตามหลักของการจัดรูปแบบแถวของการแสดง สามารถแสดงได 7 คน 9 คน 5 คน 3 คน จำเป็นต้องเป็นเลขคี่เนื่องจากการแสดงมีตัวกลาง
ลักษณะผู้แสดง
-
การแต่งกายผู่แสดง/เครื่องประดับ
เครื่องแต่งกาย ออกแบบโดยโดยได้แนวคิดจากจากรูปปั้นเทวสตรี เลขที่ประจำวัตถุ 339/2513 ที่ปรากฏในพิพิธภัณฑสถานจังหวัดกำแพงเพชร และแกะลายออกแบบลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้งจนครั้งล่าสุดได้นำเสนอผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ให้คำแนะนำ และได้นำมาใช้ในการแสดงออกแบบเครื่องแต่งกายโดย นายรุ่งธรรม ศรีวรรธนศิลป์ ครูเชี่ยวชาญด้านประณีตศิลป์ วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร เครื่องประได้ศึกษาจากรูปปั้นของช้างรอบที่ปรากฏในวัดช้างรอบอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรประกอบไปด้วยกรองคอ ต้นแขน และข้อมือ ศิราภรณ์สวมศีรษะนักแสดงได้แกะรูปแบบมาจากเครื่องปั้นดินเผารูปนางรำ เลขประจำวัตถุ 352/2513 ที่ปรากฏในพิพิธภัณฑสถานจังหวัดกำแพงเพชร ผู้ออกแบบเครื่องประดับคนแรกคืออาจารย์ชนานันท์ ช่างเรียน
และเครื่องแต่งกายระบำชากังราว ออกแบบเครื่องแต่งกายโดยอาจารย์รุ่งธรรม ธรรมปิยานันท์ อาจารย์ผู้สอนประจำวิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ดังภาพที่ 3
ภาพที่ 3 เครื่องแต่งกายระบำชากังราว
ข้อมูลเพลง/ดนตรี
เพลงที่ใช้ในการแสดง
เพลงประกอบการแสดง แต่งขึ้นใหม่โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและศึกษาข้อมูลเพลงในยุคสุโขทัยผู้เชี่ยวชาญได้ประพันธ์ขึ้นโดยใช้เพลงนางนาคเป็นพื้น และประพันธ์ทำนองใหม่เพื่อเป็นเพลงระบำชากังราวโดยเฉพาะผู้ประพันธ์คืออาจารย์ศิริชัยชาญ ฟักจำรูญ บันทึกเสียงครั้งแรก คือ อาจารย์ปฐมรัตน์ ถิ่นธรณี
เนื้อร้อง/ทำนอง
การบรรจุเพลงโดย ดร.ศิริชัยชาญ ฟักจำรูญ อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์ ในขณะนั้น ตำแหน่งก่อนเกษียณอายุราชการ คือ อธิบดีกรมศิลปากร
เพลงระบำชากังราว
ท่อน 1
---- | ---ซฺ | ---ลฺ | -ทฺ-ด | -รดท | -ด-- | รดลด | -ร-ม- |
---- | ---- | -ร-ม | -ฟ-ซ | -ลซฟ | -ซ-- | ลซลรํ | -ดํ-ล |
--ดํดํ | รํดํลดํ | --ลล | ดํลซล | --ซซ | ลซมซ | --มม | ซมรม |
---ซ | ---ดํ | -ท-ล | -ซ-ม | --ซฺลฺ | ดรมซ | มรดร | มซ-ด |
ท่อน 2
ซซซซ | (ซซซซ) | ดดดด | (ดดดด) | ดํดํดํดํ | (ดํดํดํดํ) | ทลซล | ทดํรํมํ |
---ดํ | ---ล | ---ซ | ---ม | ---ร | ---ม | ลซมซ | ลซดํล |
--ดํดํ | รํดํลดํ | --ลล | ดํลซล | --ซซ | ลซมซ | --มม | ซมรม |
---ซ | ---ดํ | -ท-ล | -ซ-ม | --ซฺลฺ | ดรมซ | มรดร | มซ-ด |
ชั้นเดียว/ท่อน 1
-ดดด | -ซฺ-ด | รดซฺด | -ร-ม | --รม | ฟซฟซ | ลซลรํ | -ดํ-ล |
--ดํดํ | รํดํลดํ | --ลล | ดํลซล | --ซซ | ลซมซ | --มม | ซมรม |
ท่อน 2
-ดดด | -ซ-ดํ | รํดํซด | -รํ-มํ | --ดํล | ซมซม | --รม | ซลซล |
--มํรํ | ดํลํดํลํ | --ดํล | ซมซม | --ซฺลฺ | ดรมซ | มรดร | มซ-ด |
เพลงระบำชากังราว ท่อน 1
---ซฺ ---ลฺ -ทฺ-ด -รดท -ด-- รดลด -ร-ม-
---- -ร-ม -ฟ-ซ -ลซฟ -ซ-- ลซลรํ -ดํ-ล
--ดํดํ รํดํลดํ --ลล ดํลซล --ซซ ลซมซ --มม ซมรม ---ซ ---ดํ -ท-ล -ซ-ม --ซฺลฺ ดรมซ มรดร มซ-ด ท่อน 2 ซซซซ (ซซซซ) ดดดด (ดดดด) ดํดํดํดํ (ดํดํดํดํ) ทลซล ทดํรํมํ ---ดํ ---ล ---ซ ---ม ---ร ---ม ลซมซ ลซดํล --ดํดํ รํดํลดํ --ลล ดํลซล --ซซ ลซมซ --มม ซมรม ---ซ ---ดํ -ท-ล -ซ-ม --ซฺลฺ ดรมซ มรดร มซ-ด ชั้นเดียว/ท่อน 1 -ดดด -ซฺ-ด รดซฺด -ร-ม --รม ฟซฟซ ลซลรํ -ดํ-ล --ดํดํ รํดํรํล ดํลดํซ ลซลม --ลฺทฺ ดรดร มรซฺลฺ ทฺดทฺด ท่อน 2 -ดดด -ซ-ดํ รํดํซด -รํ-มํ --ดํล ซมซม --รม ซลซล --มํรํ ดํลํดํลํ --ดํล ซมซม --ซฺลฺ ดรมซ มรดร มซ-ด
1.4.3 ผู้แต่งเพลง เนื้อร้อง/ทำนอง - 1.4.4 เครื่องดนตรีประกอบ วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงชุด “ระบำชากังราว” ใช้วงปี่พาทย์ 1.5 ข้อมูลการสำรวจ
1.5.2 วันเดือนปีที่สำรวจ 30 เมษายน 2561 1.5.3 วันปรับปรุงข้อมูล - 1.5.4 ผู้สำรวจข้อมูล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์เยาวลักษณ์ ใจวิสุทธิ์หรรษา
1.5.5 คำสำคัญ ระบำชากังราว เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เพื่อให้เกิดเป็นการแสดงประจำจังหวัดกำแพงเพชร เป็นการสืบสานพัฒนาศิลปะด้านการแสดงให้เกิดระบำชุดใหม่ เพื่อนำไปใช้ในการแสดงเผยแพร่วัฒนธรรมในประเทศและต่างประเทศ แสดงรับแขกบ้านแขกเมืองหรือในโอกาสต่างๆ และเพื่อส่งเสริม การท่องเที่ยวของจังหวัดกำแพงเพชร เนื่องจากมีวัตถุประสงค์หลักในการสร้างสรรค์ผลงาน จึงต้องคำนึงถึงเอกลักษณ์ของจังหวัดกำแพงเพชร ผู้สร้างสรรค์จึงได้ศึกษาและรวบรวมจากหนังสือ เอกสาร วารสาร งานวิจัย แหล่งข้อมูลในพิพิธภัณฑสถานจังหวัดกำแพงเพชร สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ดนตรีไทย ศึกษารูปแบบแนวคิดการสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏศิลป์นำมาเป็นข้อมูลในการสร้างสรรค์ผลงานนี้