ฐานข้อมูล เรื่อง ภาษาถิ่นจังหวัดกำแพงเพชร

จาก KPPStudies
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:42, 9 มีนาคม 2564 โดย Admin (คุย | มีส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "1. ชาติพันธุ์ ชุมชนและสังคม 1.1. ข้อมูลทั่วไป 1.1.1. ชื่อชาติพั...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)
ไบยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

1. ชาติพันธุ์ ชุมชนและสังคม 1.1. ข้อมูลทั่วไป 1.1.1. ชื่อชาติพันธุ์/ชุมชน/สังคม 1.1.2. ชื่อเรียกตนเอง 1.1.3. ที่ตั้ง อำเภอพรานกระต่าย อยู่ทางทิศเหนือสุดของจังหวัด ติดต่อกับเขตการปกครองข้างเครียง ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ อำเภอเมืองตาก (จังหวัดตาก)และอำเภอบ้านด่านลานหอย (จังหวัดสุโขทัย) ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อำเภอคีรีมาศ (จังหวัดสุโขทัย) และ อำเภอลานกระบือ ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอไทรงาม และ อำเภอเมืองกำแพงเพชร ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อำเภอโกสัมพีนคร และ อำเภอเมืองตาก (จังหวัดตาก) 1.1.4. ชื่อที่ผู้อื่นเรียก 1.1.5. ภาษาที่ใช้พูด/เขียน อำเภอพรานกระต่าย ภาษาชาวอำเภอพรานกระต่าย มีสำเนียงคล้ายชาวสุโขทัย คำที่มีเสียงวรรณยุกต์จัตวาจะเปลี่ยนเป็นเสียงวรรณยุกต์เอก และเสียงเอกจะเปลี่ยนเป็นเสียงจัตวา และมีคำศัพท์เฉพาะอื่น ๆ แตกต่างออกไปจากกลุ่มชนดั้งเดิมในจังหวัดกำแพงเพชร

1.1.6. ประวัติความเป็นมา

       อำเภอพรานกระต่าย 
มีนายพรานเดินทางมาสำรวจเส้นทาง เพื่อไปสร้างเมืองหน้าด่านของกรุงสุโขทัย วันหนึ่งขณะที่กำลังพักแรม นายพรานได้พบกระต่ายขนสีทองสวยงามมากบริเวณหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง และ ได้หายเข้าไปในถ้ำ ต่อมานายพราน จึงกราบบังคมทูลพระร่วงให้รับทราบ และ รับอาสาจะจับกระต่ายตัวดังกล่าว และได้ใช้ความพยายามที่จะจับตั้งหลายครั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงได้สร้างบ้านถาวรขึ้นบริเวณหน้าถ้ำเพื่อรอจับกระต่าย หลายปีต่อมาจึงมีผู้อพยพมาอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านพรานกระต่าย" ได้รับสถาปนาเป็นอำเภอครั้งแรกเมื่อปี 2438

1.1.7. ข้อมูลประชากรศาสตร์ อำเภอพรานกระต่าย ประชากร : 70,749 คน (พ.ศ.2557) ความหนาแน่น : 65.39 คน / ตารางกิโลเมตร 1.1.8. ข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ อำเภอพรานกระต่าย พื้นที่ : 1,081.791 ตารางกิโลเมตร การปกครองส่วนภูมิภาค : อำเภอพรานกระต่าย แบ่งพื้นที่การปกครองตามพระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองท้องที่ออกเป็น 10 ตำบล 116 หมู่บ้าน ลักษณะอากาศ : ภูมิอากาศโดยทั่วไป เป็นแบบมรสุม มี 3 ฤดู

1.2. วิถีชิวิต 1.2.1. อาชีพ อำเภอพรานกระต่าย

                          เกษตรกรรม ข้าว พืชไร่และค้าขาย

1.2.2. ครอบครัว 1.2.3. การแต่งกาย 1.2.4. ที่อยู่อาศัย/ความเป็นอยู่ 1.3. ประเพณี 1.3.1. ความเชื่อ 1.3.2. ศาสนา อำเภอพรานกระต่าย นับถือศาสนาพุทธ คริสต์ 1.3.3. ประเพณีอื่นๆ อำเภอพรานกระต่าย

    ประเพณีทำบุญศาลเจ้าพ่อถ้ำกระต่ายทอง
       ประเพณีทำบุญศาลเจ้าพ่อปุงเถ้ากง

1.3.4. ศิลปะการแสดง 1.4. ข้อมูลอื่นๆ 1.4.1. สถานการณ์ปัจจุบันของชาติพันธุ์ 1.4.2. ข้อมูลอื่นๆ 1.5. ข้อมูลการสำรวจ 1.5.1. แหล่งอ้างอิง

		เทศบาลพรานกระต่าย. (ม.ป.ป.). เอกลักษณ์ภาษาถิ่น พัฒนาการทางไทยบนถนนพระร่วง. เทศบาลพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร.

รัชดาภรณ์ รักษ์ชน. (2550). การศึกษาภาษาทางสังคมในการเปรียบเทียบเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยกลางและภาษาถิ่นพรานกระต่าย และคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในท้องถิ่น. วิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่. องค์การบริหารส่วนตำบลพรานกระต่าย. (2547). เอกลักษณ์ภาษาถิ่น “พรานกระต่าย”. องค์การบริหารส่วนตำบลพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร.


1.5.2. วันเดือนปีที่สำรวจ 1.5.3. วันปรับปรุงข้อมูล 1.5.4. ผู้สำรวจข้อมูล 1.5.5. คำสำคัญ (tag)

ภาษาพรานกระต่าย

บนเส้นทางพระร่วง จากประตูสะพานโคมโดยไปทางวัดอาวาสน้อย สองข้างทางประชาชนส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยกลาง พอเลยออกจากหมู่บ้านก็จะเป็นพื้นที่ไร่นา เป็นป่าโปร่งเล็ก ๆ ไม่ค่อยจะพบบ้านเรือนประชาชนมากนักที่พบก็ใช้ภาษาไทยกลางดังกล่าวมาแล้ว แต่พอมาถึงบริเวณบ้านดงขวัญ ได้พบประชาชนหรือชาวบ้านบริเวณนั้น เริ่มพูดภาษาถิ่นกันมากขึ้น ได้สอบถามถึงภาษาที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันจึงทราบว่าเป็นภาษาพรานกระต่าย ชาวบ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้อพยพมาจากอำเภอพรานกระต่าย ได้ใช้ภาษาพูดของคนสุโขทัย และไม่เหมือนที่ใด มีบางแห่งกล่าวกันว่าคนพรานกระต่าย มีพื้นภาษามาจากลาวพรวน แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดและได้พบการใช้ภาษาถิ่นพรานกระต่าย มากขึ้นเป็นลำดับตลอดเส้นทาง และจากการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ จากชาวบ้าน ๒ ฝั่งถนนพระร่วงและในเขตชุมชนต่าง ๆ ในระดับตำบลและหมู่บ้านทำให้ทราบได้ว่า พื้นที่ที่ใช้ภาษาพรานกระต่ายมีอยู่ ทั่ว ๆ ไปดังนี้

๑. ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร จะมีพื้นที่ที่ใช้ภาษาถิ่นพรานกระต่าย จำนวน ๑ หมู่บ้านซึ่งได้แก่ หมู่บ้านน้ำดิบ

๒. ในเขตอำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ทุกหมู่บ้านในอำเภอนี้ใช้ภาษาถิ่นพรานกระต่ายทั้งสิ้น

๓. อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร มีที่บ้านหนองหลวงและบ้านลานกระบือ

๔. อำเภอเมือง จังหวัดตาก มีพื้นที่ที่ใช้ภาษาถิ่นพรานกระต่ายทั้งหมด 7 หมู่บ้าน คือ บ้านตลุกป่าตาล บ้านบ่อไม้หว้า บ้านโป่งแดง บ้านลานสอ บ้านวังประจบ บ้านสะแกเครือ และ บ้านไม้งาม

๕. อำเภอกงไกรลาส จังหวัดสุโขทัย ใช้ภาษาถิ่นพรานกระต่าย ณ หมู่บ้านคุยสมอ บ้านชุมแสงสงคราม บ้านหนองตูม

๖. อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย มีที่ บ้านไผ่ล้อม บ้านยางซ้าย บ้านฝอย บ้านคลองยาง

๗. อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย มีที่บ้านบึงสนม บ้านคุยประดู่ บ้านใหม่เจริญผล บ้านบ่อคู่ บ้านทุ่งหลวง บ้านสามพวง บ้านเขาทองผางับ บ้านโตนด

๘. อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย มีที่บ้านวังตะแบกเหนือจะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมการใช้ภาษาถิ่นพรานกระต่าย มีอยู่เป็นบริเวณกว้าง ทั่ว ๆ ไป บางแห่งแม้จะมีเพี้ยนไปบ้างก็พอมีเค้าเดิม การเพี้ยนไปนี้ไม่ได้เพี้ยนไปเป็นภาษาทางภาคไหน เพี้ยนมาแต่โบราณกาลแล้ว อาทิเช่น

เสื่อ เพี้ยนเป็น เสือ

ข้าวสาร เพี้ยนเป็น ข้าวส่าน

หนังสือ เพี้ยนเป็น หนังสื่อ

คนสวย เพี้ยนเป็น คนส่วย

มั่งซิ เพี้ยนเป็น มั่งฮิ

ไปซิวะ เพี้ยนเป็น ไปซัวะ

ไปไหนเล่า เพี้ยนเป็น ไปเม้า

ภาษาถิ่นที่ยังใช้กันอยู่แพร่หลาย และยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน บางคำที่ไม่เหมือนกับภาคอื่น ๆ เช่น

ขี้ปุ๋น คือ ฝรั่ง(ผลไม้)

ยู้ คือ ผลัก , ดัน

โด๋ คือ ตรงโน้น

โด๋เนี่ย คือ ตรงนี้

ตะพัด คือ สะกัดกั้น

ยั้ง คือ หยุด

ไม้เส้า คือ ไม้สอยผลไม้

อี๊ใน คือ แมลงใน

อี๊หนีด คือ แมลงจิ้งหรีด

    ลักษณะของภาษาถิ่นพรานกระต่าย คือคำที่มีเสียงวรรณยุกต์เอก และเสียงเอกจะเปลี่ยนเป็นเสียงจัตวา และมีคำศัพท์ที่แตกต่างไปตามท้องถิ่นอื่น ๆ มีสำเนียงคล้ายกับชาวสุโขทัย แต่มีเสียงเหน่อมากกว่าชาวสุโขทัย สภาพภูมิประเทศไม่มีอิทธิพลต่อภาษาถิ่นพรานกระต่าย เพราะภาษาของคนพรานกระต่าย จะกระจายแบบเครือญาติ 
    อีกทั้งนิสัยคนพรานกระต่ายไม่ค่อยชอบอพยพไปอยู่ที่อื่น สำหรับบริเวณเส้นทางถนนพระร่วง ในช่วงอำเภอพรานกระต่ายจะหนาแน่นมากขึ้นเป็นลำดับในด้านภาษาถิ่น จนถึงเข้าเขตสุโขทัย โดยเฉพาะในเขตอำเภอคีรีมาศจะหนาแน่นในบ้างหมู่บ้าน แล้วค่อย ๆ กระจายเพี้ยนไปเข้าสำเนียงสุโขทัยมากขึ้นตามลำดับ

ตัวอย่างภาษาที่เป็นพรานกระต่าย จากการศึกษา เรื่อง เอกลักษณ์ภาษาถิ่นพรานกระต่าย (องค์การบริหารส่วนตำบลพรานกระต่าย, 2547) สรุปตัวอย่างคำภาษาพรานกระต่ายเบื้องต้น ดังนี้

ล้มกลิ้งกับพื้น ภาษาพรานกระต่ายคือ กลิ้งกะหลุ๋น ก้องดินในทุ่งนา ภาษาพรานกระต่ายคือ ก้อนขี้แต้ รถมอเตอร์ไซค์ ภาษาพรานกระต่ายคือ รถตามอ เล่นทมากเก็บ ภาษาพรานกระต่ายคือ เล่นหมากปากเปิด ตรงโน้น ภาษาพรานกระต่ายคือ โด๋น่ะ จอบขุดดิน ภาษาพรานกระต่ายคือ กระเบิ้งเหิ๋ง หรือกระบก ตุ๊กแก ภาษาพรานกระต่ายคือ ตอดตอ ลูกน้ำ ภาษาพรานกระต่ายคือ ตะกะเตี้ย เป็นหลุมเป้นบ่อ ภาษาพรานกระต่ายคือ กะบวกกะบั้ว

1. ลักษณะการใช้ภาษาถิ่น (พรานกระต่าย) วัฒนธรรมการใช้ภาษา ภาษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้เป็นภาษากลาง แต่จะมีเพี้ยงไปบ้างก็ยังพอมีเค้าเดิม การเพี้ยนไปนี้เป็นภาษาทางภาคไหน เพี้ยนมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วดังติ่ไปนี้ คือ เสื่อ เพี้ยนเป็น เสือ ข้าวสาร “ ข้าวส่าน หนังสือ “ หนังสื่อ คนสวย ” คนส่วย มั่งซิ “ มังฮิ่ ไปชิวะ “ ไปซั้ว ไปไหนเล่า “ ไปเม้า

2. ภาษาถิ่งที่ยังใช้กันอยู่แพร่หลาย และยังใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้บางคำที่ไม่เหมือนกับภาคอิ่นๆ เช่น

ขี้ปู๊น คือ ฝรั่ง (ผลไม้) น้ำแหน่ “ น้อยหน่า ยู้ “ ผลัก,ดัน โด๋ “ ตรงโน้น เนียะ “ ตรงนี้ ตะพัด “ สะพัดกั้น มอด “ รอดใต้ ยั้ง “ หยุด ไม้เส้า “ ไม้สอยผลไม้ ขวม “ ครอบ,สวม แหงะ “ เหลียวดู,หันหน้ามา กะบก “ จอบ กะจอบ “ เสียม คุ “ ถังน้ำ อีมุย “ ขวาน ตะแก้ม “ จิ้งจก แมงกะบี้ “ ผีเสื้อ ตะกะเดี้ย “ ลูกน้ำ (ลูกยุง) ลูกโจ๋ “ ลูกสุนัก หยูด “ ไม่กรอบ แคบหมู “ หนังหมูทอดพอง จิ้งใน “ จิ้งหรีด

3. คำสร้อย ใช้เสียงดนตรีในการจบประโยคการสนทนา ภาษามาตรฐาน ภาษากำแพงเพชร เอาเอง เอาเอิง ไปไหนมา ไปไหนมาเล๊า เอาซิ เอาฮิ


4. ภาษาเปลี่ยนไป อยู่ที่นี่ ไต๊นี่ อยู่โน้น อยู่ปู่น

จากผลงานวิจัย เรื่อง การศึกษาทางสังคมในการเปรียบเทียบเสียงวรรณยุกต์ของภาษาไทยกลางและภาษาถิ่นพรานกระต่าย และคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในท้องถิ่น (รัชดาภรณ์ รักษ์ชน, 2550 หน้า 17-45) พบว่า ภาษาถิ่นพรานกระต่าย มี 5 วรรณยุกต์ เหมือนกับภาษาไทยกลางนั่นคือ วรรรยุกต์ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ ดำที่ออกเสียงในวรรณยุกต์จัตวาในภาษาไทยกลาง จะออกเสียงในวรรณยุกต์ เอก ในภาษาถิ่นพรานกระต่าย และคำที่ออกเสียงในวรรณยุกต์ เอกและโท ในภาษไทยกลาง สามารถแบ่งออกเป็น 16 กลุ่ม ดังนี้

1. กลุ่มคำสร้างคำเสริม

• กงล้อ กงรถ กงล้อ + กงรถ ความหมาย : ล้อรถ ที่มา : กงล้อ (วง,ส่วนรอบของล้อ)

	    	    กงรถ (วง,ล้อรถ)

• กระบวกกระบั๋ว กระบวก + กระบั๋ว ความหมาย : เป็นหลุมเป็นบ่อ ที่มา : กระบวก (เป็นหลุมเป็นบ่อ) กระบั๋ว (ไม่มีความหมาย)

• กระเซะกระแซะ กระเซะ + กระแซะ ความหมาย : เปียก ที่มา : กระเซะ (รู้สึกเริ่มจะเป็นไข้) กระแซะ (ไม่มีความหมาย

• ไข้ตะก๊นตะก๊าน ไข้ตะกุ๊น + ตะก๊าน ความหมาย : รู้สึกเริ่งจะเป็นไข้ ที่มา : ไช้ตะกุ๊น (รู้สึกเริ่มจะเป็นไข้) ตะก๊าน (ไม่มีความหมาย)

• ตะครั่นตะครอ ตะครั่น + ตะครอ ความหมาย : อาการครั่งเนิ้อครั่งตัว สะบัดร้องสะบัดหนาว เวลาเริ่มจะเป็นไข้ ที่มา : ตะครั่น (ครั่นเนื้อครั่นตัว) ตะครอ (ไม่มีความหมาย)

2. กลุ่มคำผสมที่มีสัมผัสสระ

• ซะโลกโกกเกก ชะโลก + โกกเกก ความหมาย : หุบเขาที่มีหินมาก ไม่เรียบ ที่มา : ชะโลก (ไม่มีความหมาย)

    โกกเกก (เกะกะระราน ไม่เรียบร้อย)

• ฟ้าทะแลบแป๊บๆ ฟ้าทะแลบ + แป๊บๆ ความหมาย : ฟ้าร้อง ที่มา : ฟ้าทะแลบ (ฟ้าแลบ)

    แป๊บๆ (ไม่มีความหมาย เป็นคำสร้อยของคำว่าฟ้าแลบ)

3. กลุ่มคำเลียนเสียงธรรมชาติ

• กุ๊กๆ หรือ โก๊กๆ ที่มา : กาทำเสียงเรียกให้ไก่มากินข้าว ; เลียนเสียงไก่ เช่น : เวลาจะเรียกไก่ให้มากินข้าวจะทำสียง ก็ก กุ๊ก ๆๆๆๆ (พร้อมทำท่าทางดีดนิ้ว)

• ไกตั๊กกะก๊าก ที่มา : เสียงไก่เวลาตกใจร้อง (ตัวเมีย) เช่น : ไก่ตกใจเมื่อมีเสียงแปลกปลอม เช่น คน, งู เข้าไป ไก่จะขัน “ไกตั๊กกะต๊าก”

• โจ๋ๆ ที่มา : การทำเสียงเรียกให้สุนัขมา(ลูกสุนัข) เช่น : เวลาจะเรียกให้ลูกสุนัขมา ก็ทำเสียง “โจ๋ โจ่ ๆๆๆๆ”

• เด๊าะๆ โอ๊ะๆ ที่มา : การทำเสียงเรียกสุนัขให้มา (สนุขตัวใหญ่) เช่น : การทำเสียงเรียกให้สุนัขมา “ เด๊าะๆ โอ๊ะๆๆๆ ”

• ตอดตอ ที่มา : ใช้เรียกตุ๊กแก (เรียกตามเสียงร้องของตุ๊กแก) เช่น : เมื่อเวลาตุ๊กแกร้อง มันจะร้องว่า “ ตะ ตะ ตอด ต๊อดตอ ”


4. กลุ่มคำที่มีการสลับที่พยัญชนะ

• กระต้า ( กระ + ต้า ) ที่มา : ตะกร้า ( ตะ + กร้า ) เช่น : ถาชนะสานเป็นที่ใส่ของ

• กระต้อ ( กระ + ต้อ ) ที่มา : ตะกร้า ( ตะ +กร้อ ) เช่น : กระโซงที่สานเป็นตะกร้อใช้วิดน้ำ

• กระตุด ( กระ + ตุด ) ที่มา : ตะกรุด ( ตะ + กรุด ) เช่น : เครื่องรางอย่างหนึ่งทำด้วยทองแดง


• (รถ)ตามอ ( ตา + มอ ) ที่มา : มอตาไซต์ ( มอ + ตา ) เช่น : รถจักรยานยนต์ 2 ล้อ

5. กลุ่มคำที่เรียกตามลักษณะการใช้

• กระพือ กระ (ไม่มีความหมาย) + พือ (ไม่มีความหมาย) เช่น : พัดจีน ที่มา : การใช้พัดจีน พัดหรือโบก เรียกลักษณะนั้นว่า กระพือ (โบก , พัดไป)

• ก้อนเซ้า (ก้อนเช้า) ก้อน (วัตถุกลมๆ) + เช้า (เวลาตั้งแต่สว่างถึงเที่ยง) เช่น : ก้อนหินที่วางใช้หุงข้าว ที่มา : การเอาก้อนหิน 3 ก้อนมาวาง ก่อไฟ เพื่อหุงข้าว

• ขะโยน ขะ (ไม่มีความหมาย) + โยน (ทิ้งให้พ้นไกลจากตัว,เหวี่ยง) เช่น : ที่ตักน้ำจากบ่อ ที่มา : ถังน้ำที่โยนลงในบ่อเพื่อตักน้ำขึ้นมา

• ผ้าห่มเข้า (ผ้าห่มเช้า) ผ้า (สื่งที่ทอถักเป็นผืนด้วยฝ้ายหรือเยื่อใยต่างๆ) + ห่ม (หุ้ม ห่อ) + เช้า (เวลาตั้งแต่สว่างถึงเที่ยง) เช่น : ผ้าขนหนู ที่มา : ผ้าที่ห่มไปอาบน้ำตอนเช้า

• ไม้เท้าเอว ไม้เท้า (ไม้หรือสิ่งอื่นๆสำหรับถือยังตัวหรือเดิน) + เอว (ส่วนกลางของรางกาย) เช่น : ไม้ยันเรือนล้อ ที่มา : ไม้เท้าที่อยู่ระดับเอว ช่วยประคับประคองไม่ให้ล้ม (สำหรับคนชรา)

6. กลุ่มคำที่ไม่ถูกใช้แล้ว

• กะลอง กะ (กำหนด, หทาย, คะเน) + ลอง (ทำทดสอบดู) เช่น : การเอามือลูบหรือสะกิดลูกอัณฑะ การแทนคำ : (ไม่มี)

• ข้าวเกรก ข้าว (เมล็ดของพืชในจำพวกหญ้าใช้เป็นอาหารหลัก) + เกรก (ไม่มีความหมาย) เช่น : ข้าวเกรียบ การแทนคำ : ข้าวเกี๋ยบ ซึ่งเป็นการเพี้ยนเสียง จากคำว่า ข้าวเกรียบ


• ขี้ก๊วง ขี้ (กากอาหารที่ถ่ายออก,สิ่งที่ไม่ต้องการ) + ก๊วง (ไม่มีความหมาย) เช่น : น้ำมันยางที่ออกจากต้นพลวง การแทนคำ : ยางไม้ (ยางที่ออกมาจากต้นไม้)

• ปุ้น ปุ้น (ไม่มีความหมาย) เช่น : หัน การแทนคำ : หั่น ซึ่งเป็นการเพี้ยนเสียงจากคำว่า หัน

• เสือตบตูด เสือ (สัตว์ป่า 4 เท้ามีเล็บคม ลำตัวลายเหลืองสลับดำ) + ตบ (เอาฝ่ามือตี) + ตูด (ทวาร) เช่น : ด้วยดักแด้ การแทนคำ : ตัวค๋วง ซึ่งเป็นการเพี้ยนเสียงมาจากคำว่า ตัวค้วง

7. กลุ่มคำยืน

• เจิงเหลิม เจิง (ไม่มีความหมาย) + ดหลิม (ไม่มีความหมาย) เช่น : น้ำแกงมากเกินไป การแทนคำ : จะเล่น เพี้ยนมาจากคำว่า จะล้น เจิ๋ง เพี้ยนเสียงจากคำว่าเจิ่ง (แผ่ไปมากกว่าปกติ มักใช้แก่น้ำ)

• เจียมเหลิง เจียม (รุจักประมาณตัวเอง) + เหลิง (คะนอง,เกินความพอดี) เช่น : สะอาด การแทนคำ : สะอาด เอี๋ยม (ซึ่งเพี้ยนเสียงมาจากคำว่า สะอาด เอี่ยม)

• แทงคอน แทง (ใช้ของคมทิ่มลงไป) + คอน (แบกสิ่งของของที่ห้อยปลายคานข้างเดียว) เช่น : ไปหาเขาตั้งแต่เขายังไม่ตื่น การแทนคำ : ไปห่าเข่าแต๊เช้า ซึ่งดพี้ยนเสียงมาจาก ไปหาเขาแต่เช้า

• แทงดอน แทง (ใช้ของคมทิ่มลงไป) + ดอน (ที่สูง ที่เขิน) เช่น : ไก่ย้งไม่ลงจากที่ (ตอนเช้ามืด) การแทนคำ : ไก๋ยังไม่ลงมา ซึ่งเพี้ยนเสียงจากคำว่า ไก่ยังไม่ลงมา

• หนังปะแด่ หนัง (ส่วนของร่างกายที่หุ้มห่อเนื้อ) + ปะ (ปะ) + แด๋ (ไม่มีความหมาย) เช่น : หนัง วัว – ควาย ที่ทำเป็นเกลียยว การแทนคำ : (ไม่มี)

8. กลุ่มคำที่บางพยางค์ถูกตัดออกไป

• กะมัง กะ + มัง ที่มา : กะละมัง (กะ + ละ + มัง) เช่น : ซาม อ่าง หรือจาน

• มาชิ มา + ซิ ที่มา : มานี่ซิ (มา + นี่ + ซิ) เช่น : มาทางนี่ หน่องซิ

• เสือกกระดี่ เสือก + กระ + ดี๋ ที่มา : เสือกปลากระดี่ (เสือก + ปลา + กระ + ดี่) เช่น : การว่ายน้ำหงายหลัง

• เดินโดกแดก เดิน + โดก + เดก ที่มา : เดินกระโดกกระเดก (เดิน + กระโดก + กระเดก) เช่น : เดินไปเดินมา ไม่เรียบร้อย

• ไปเม๊า ไป + เม๊า ที่มา : ไปไหมเล่า (ไป + ไหม + เล่า) เช่น : ไปด้วยกันไหม

9. กลุ่มคำที่ถูกกลืมเสียง

• จริงเม๊า จริง + เม๊า ที่มา : จริงไหมเล่า (จริง + ไหม + เล่า) เช่น : ใช่ไหม

• ไปชัวะ ไป + ชัวะ ที่มา : ไปชิวะ (ไป + ชิ + วะ) เช่น : ไปสิ (ยืนยันว่าไปแน่นอน)

10. กลุ่มคำที่เรียกตามลักษณะเฉพาะ

• ขนมคู่ ขนม (ของหวาน) + คู่ (สองอย่างควบคู๋กัน) มาจาก : ปลาท่องโก๋ ที่มา : ลักษณะของขนมที่ติดกกันเป็นคู่ • ข้าวเกรียบโปร่ง ข้าวเกรียบ (อาการที่ทำจากข้าวเหนียวและแป้ง) + โปร่ง (ไม่ทืบ,แจ่มใส่) มาจาก : ข้าวเกรีบว่าว ที่มา : ข้าวเกรียบที่มีลักษณะเป็นแผ่นใสๆ โปร่งๆ

• ดั้งกางเกง ดั้ง (สันจมูก) + กางเกง (เครื่องนุ่ง มี 2 ขา) ที่มา : เป้ากางเกง มาจาก : ลักษณะส่วนตรงเป้ากางเกงที่มีลักษณะคล้ายกับคั้งหรือสันจมูก

• ปลาหง ปลา (สัตว์ที่อาสัยอยู่ใต้น้ำ มีครีบ มีหาง) + หง (แดง) มาจาก : ปลาดุกตัวเล็กมีผังแดงๆ ที่มา : ลักษณะสีของลูกปลาที่มีผังสีแดงที่ลำตัว

• ผักโด่ ผัก (พืชใช่เป็นอาหาร) + โด๋ (ตั้งตรง) มาจาก : ผักคื่นช่าย ที่มา : ลักษณะลำต้นคื่นช่ายที่ตั้งตรง

11. กลุ่มคำที่ใช้เหมือนกับภาษาไทยกลาง

คำศัพท์ภาษาถิ่น ความหมาย คำศัพท์ไทยกลาง ความหมาย กระเจิง กระจาย กระเจิง แตกหมู่ไป จริงจัง มากมาย จริงจัง แน่แท้, หหนักแน่น, มาก ทด ทำนบกั้นน้ำ ทด ที่กั้นน้ำ ตะไก กรรไกร ตะไก เครืองมือสำหลับตัดโคยใช้ หนิบ โน้น ไกลริบ โน้น ใช้ประกอบนามที่อยู่ไกล

12. กลุ่มคำที่สร้างขึ้นมาใหม่

• ก๊วยติ๊งนง ก๊วย (ไม่มีความหมาย) + ติ๊ง (ไม่มีความหมาย) + นง (ไม่มีความหมาย) การสร้างความหมายคำใหม่ : ไขว่ห้าง

• คุย คุย (พูดสนทนากัน) การสร้างความหมายคำใหม่ : ป่าสูง

• เงิง เงิง (ไม่มีความหมาย) การสร้างความหมายคำใหม่ : (ปิด) ไม่สนิด • ด๊ะนา ด๊ะ (ไม่มีความหมาย) + นา (พื้นดินราบสำหรับปลูกข้าว) การสร้างความหมายคำใหม่ : การไถนาหนแรก

• ซกมก ซก (เปี่ยกชุ่มน้ำจนหมด) + มก (ไม่มีความหมาย) การสร้างความหมายคำใหม่ : สกปรก

13. กลุ่มคำที่มีบางส่วนของคำถูกตัดและเพิ่ม

• อีซิว อี + ซิว ที่มา : (อี) + ปลา + กระ + ซิว คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไปปจากเดิม : อี การตัดคำ : ปลา / กระ เช่น : ปลากระซิว

• อีข้อง อี + ข้อง ที่มา : (อี) + ตะ + ข้อง คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไปปจากเดิม : อี การตัดคำ : ตะ เช่น : ตะข้องใส่ปลา

• ไอ้ซ่อน ไอ้ + ซ่อน ที่มา : (ไอ้) + ปลา + ซ่อน คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไปปจากเดิม : ไอ้ การตัดคำ : ปลา เช่น : ปลาซ่อน

• ไอ้โต้ง ไอ้ + โต้ง ที่มา : (ไอ้) + ไก่ + โต้ง คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไปปจากเดิม : ไอ้ การตัดคำ : ไก่ เช่น : ไก่โต้ง

• ไอ้ ก๋อ/ก่า ไอ้ + ก๋อ/ก่า ที่มา : (ไอ้) + กิ้ง + ก่า คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไปปจากเดิม : ไอ้ การตัดคำ : กิ้ง เช่น : กิ้งก่า

14. กลุ่มคำที่เพิ่มคำอุปสรรค

• อีโหง (อี) คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไป

 			 จากเดิม  +  โหง

ที่มา : โหง เช่น : เครื่องซ้องปลา

• อีบุ้ง (อี) คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไป

 			 จากเดิม  +  บุ้ง

ที่มา : บุ้ง เช่น : หนอนผีเสื้อ

• อีอ้อ (อี) คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไป

 			 จากเดิม  +  อ้อ

ที่มา : อ้อ เช่น : มันสมอง

• อีแม่โวย (อี) คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไป

 			 จากเดิม  +  แม่โวย

ที่มา : แม่โวย เช่น : คำอุทาน ที่ไม่เห็นมีคนมาเล่าให้ฟัง

• อีใน (อี) คำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไป

 			 จากเดิม  +  ใน

ที่มา : แมลงใน เช่น : แมลงใน (แมลงชนิดหนึ่ง)

15. กลุ่มคำที่สระเปลี่ยน

• กะต๋อนกระแต๋น กระท่อนกระแท่น เช่น : ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน, ไม่สืบเนื่อง

• ซวดเลย ซวดเลย เช่น : อด, ไม่ได้, ผิดหวัง

• งัว วัว เช่น : วัว ; สัตว์ 4 ขาเลี้ยงลูกด้วยนม


16. กลุ่มคำที่ตัวควบกล้ำหายไป

• ไขห้าง ไขว์ห้าง เช่น : ไขว์ห้าง ; เอาขาข้างหนึ่งพาดบนอีกข้างหนึ่ง

• เพี้ยงทำ เพลี้ยงท่า เช่น : เสียท่า, พลาดท่า