ฐานข้อมูล เรื่องวัดพระสี่อิริยาบถและวัดนาคโบราณ
ข้อมูลทั่วไป[แก้ไข]
ชื่อแหล่งโบราณสถาน[แก้ไข]
วัดพระสี่อิริยาบถ
ชื่อเรียกอื่น ๆ[แก้ไข]
วัดพระยืน, วัดเชตุพน
ที่ตั้ง/ที่อยู่[แก้ไข]
ถนน อบจ.กพ. 1040 ตำบลนองปลิง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร 62000
ที่ตั้งพิกัดทางภูมิศาสตร์[แก้ไข]
16.501357 N, 99.514672 E
สภาพธรณีวิทยา[แก้ไข]
ตะกอนทับถมเป็นศิลาแรงอยู่ใต้ดิน
หน่วยงานที่ดูแลรักษา[แก้ไข]
อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
สถานะการขึ้นทะเบียน[แก้ไข]
- ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากร, ขึ้นทะเบียนของ UNESCO - ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478 - ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 54 ตอนที่ 41 วันที่ 7 พฤษภาคม 2480 - ประกาศขึ้นทะเบียนกำหนดขอบเขตอีกครั้งในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 85 ตอนที่ 41 วันที่ 7 พฤษภาคม 2511 - ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2534
ข้อมูลทางโบราณคดี[แก้ไข]
ประวัติความเป็นมา/คำบอกเล่า/ตำนาน[แก้ไข]
ภาพที่ 1 แสดงรายละเอียดที่มาของวัดพระสี่อิริยาบถ
วัดพระสี่อิริยาบถ เป็นวัดขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณอรัญญิกเมืองกำแพงเพชรอยู่ถัดจากวัดพระนอนไปทางทิศเหนือผังวัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าวัดไปทางทิศตะวันออกหน้าวัดมีบ่อน้ำห้องน้ำและศาลาเช่นเดียวกับวัดพระนอน สิ่งก่อสร้างสำคัญที่เป็นแกนหลักของวัดประกอบด้วยวิหารตั้งอยู่ด้านหน้าวัดวิหารสร้างฐาน 2 ชั้นฐานล่างหรือเรียกว่าฐานทักษิณสร้างเป็นแบบฐานบัวลูกแก้วอกไก่สูงใหญ่ผนังด้านข้างใช้ศิลาแลงก่อเป็นลูกกรงที่เตี้ยๆเรียนแบบเครื่องไม้ชานชาลาด้านหน้ามีแท่นซึ่งเดิมประดับสิงห์ปูนปั้นและทวารบาลรวม 8 แท่นส่วนฐานวิหารที่อยู่ด้านบนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีมุกเด็จทั้งด้านหน้าและด้านหลังภายในวิหารยังปรากฏแท่นอาสนสงฆ์และแท่นประดิษฐานพระประธาน เสารับเครื่องบนเป็นศิลาแลงสี่เหลี่ยม ด้านหลังวิหารเป็นมณฑปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้ว ทำหน้าที่เป็นเจดีย์ประธานของวัด ลักษณะมณฑปเป็นแบบจัตุรมุข กึ่งกลางเป็นแท่งสี่เหลี่ยมเพื่อรับส่วนยอดหลังคาจากนั้นทำเป็นมุขยื่นออกมาทั้ง 4 ทิศแต่ละด้านของแท่งสี่เหลี่ยมก่อผนังไว้ให้เว้าเข้าไปและประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นด้านหน้าตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปลีลา ด้านทิศเหนือพระพุทธรูปในอิริยาบถนอน ด้านทิศใต้เป็นพระพุทธรูปนั่งและด้านทิศตะวันตกเป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถยืนซึ่งเหลือสภาพมากกว่าด้านอื่นๆการที่ช่างก่อผนังให้เว้าเข้าไปมากเพื่อจะทำให้ดูคล้ายกับว่าพระพุทธรูปอยู่ลึกเข้าไปในห้องคูหา มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปสี่อิริยาบถแบบนี้สร้างกันมาก่อนที่กรุงสุโขทัยดังปรากฏที่วัดเชตุพนที่ตั้งอยู่นอกเมืองทางด้านทิศใต้ ภายในกำแพงแก้วรอบมณฑปมีฐานเจดีย์รายหลายองค์ เจดีย์รายที่อยู่บริเวณมุมกำแพงแก้วทำเป็นรูปแบบเจดีย์ที่เรียกว่าเจดีย์ทรงปราสาทยอดระฆัง ส่วนเรือธาตุทำเป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปส่วนยอดเป็นองค์ละครั้งแบบสุโขทัย สำหรับอุโบสถสร้างเป็นอาคารขนาดเล็กฐานเตี้ยอยู่ติดกับแนวกำแพงวัดทางด้านทิศใต้มีใบเสมาปักบนพื้นดินโดยรอบ เขตสังฆาวาสเป็นบริเวณทางด้านหลังของเขตพุทธาวาสพบฐานอาคารขนาดต่างๆที่เป็นฐานศาลากุฏิและบ่อน้ำภายในกำแพง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 20 - 21 หรือพุทธศักราช 1901 - 2100 สิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่ในเขตพุทธาวาสประกอบด้วยวิหารที่ทำฐานย่อมุมทั้งด้านหน้า - ด้านหลัง ตั้งอยู่บนฐานรองรับขนาดใหญ่ที่เรียกว่าฐานไพที ชาญด้านหน้าฐานไพทีมีแท่นวางประติมากรรมซึ่งน่าจะเป็นรูปสิงห์และทวารบาล บนฐานชุกชีภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่ด้านหลังของวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระสี่อิริยาบถคือ พระยืน เดิน(ลีลา) นั่งและพระนอน การสร้างวิหารขนาดใหญ่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของวิหารมากกว่าอุโบสถซึ่งมีขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ติดกำแพงวัดด้านทิศใต้ ส่วนเขตสังฆวาอยู่บริเวณด้านหลังถัดจากแนวมณฑปพระสี่อิริยาบถ (นันทนา ตันติเวสส. 2552, หน้า 69-72)
ภาพที่ 2 แสดงพื้นที่โดยรอบบริเวณวัดพระสี่อิริยาบถ
ความหมายของพระสี่อิริยาบถคือ ปางในพุทธประวัติ ที่ผ่านมานักวิชาการได้เสนอข้อสันนิษฐาน ถึงแนวคิดหรืออคติที่มาของการสร้างพระพุทธรูปสี่อิริยาบถไว้หลากหลายเช่น พิเศษเจียจันทร์พงษ์เสนอว่าน่าจะหมายถึงกิจวัตรและการพักผ่อนของพระพุทธเจ้าในรอบ 1 วันคือ นั่ง หมายถึง การประทับนั่งในตอนเช้าก่อนเสด็จออกบิณฑบาต ยืน หมายถึง การประทับยืนในตอนเพลหรือแสดงโอวาท นอน หมายถึง การไสยาสน์ในตอนบ่ายและก่อนรุ่งแจ้ง เดิน หมายถึง การเสด็จพระดำเนินจงกรมเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าในเวลาหลังเที่ยงคืน เสนอว่าน่าจะสร้างขึ้นตามคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกทีฆนิกาย มหาวรรคที่กล่าวถึง "กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน" ซึ่งใช้สติพิจารณาดูกลายเป็นอารมณ์มีสติรู้ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดินและยังได้เสนอการสร้างพระพุทธรูปสีเรียบผลในสุโขทัย น่าจะเกี่ยวข้องกับการเป็นวัดอรัญวาสีซึ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการวิปัสสนากรรมฐาน อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่าพระพุทธรูปลีลาที่วัดพระพายหลวงซึ่งสร้างขึ้นบนผนังแกนอิฐ 4 ด้านเหมือนกับที่วัดพระเชตุพนแห่งนี้ น่าจะสร้างขึ้นเพื่อสื่อความหมายถึงพระพุทธประวัติตอนเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าพระพุทธรูปในด้านอื่นๆก็น่าจะสร้างขึ้นเพื่อสื่อถึงพระพุทธประวัติในตอนอื่นๆด้วย ดังนั้นผู้เขียนจึงเชื่อว่าการสร้างพระพุทธรูปสี่อิริยาบถทั้งที่วัดพระเชตุพนและวัดพระสี่อิริยาบถจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งมีรูปแบบเหมือนกัน น่าจะสร้างขึ้นเพื่อสื่อความหมายถึงพระพุทธประวัติด้วยเช่นเดียวกัน พระพุทธรูปลีลา หมายถึง ตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย หมายถึง ตอนตรัสรู้เป็นตอนแสดงธรรม พระพุทธรูปยืน หมายถึง ปางประทานอภัยหรือไม่เช่นนั้นก็เป็นตอนแสดงธรรม พระพุทธรูปไสยาสน์ หมายถึง ตอนปรินิพพาน ปางของพระพุทธรูปที่สื่อถึงพุทธประวัติตอนต่างๆเหล่านี้ถือเป็นปางที่สำคัญและพบอยู่ใน ภาพพุทธประวัติทั่วไปในศิลปะสุโขทัยรวมทั้งในศิลปะลังกาและศิลปะพม่าด้วยเช่นกัน ทิศที่ตั้งพระนอนการวางตำแหน่งที่แตกต่างระหว่างกำแพงเพชร-สุโขทัย แม้พระพุทธรูปสี่อิริยาบถของทั้งวัดแห่งนี้และวัดพระเชตุพน เมืองสุโขทัย จะมีลักษณะโดยรวมเหมือนกันแต่ก็มีข้อที่แตกต่างกันคือ ตำแหน่งของพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยกับพระพุทธรูปไสยาสน์อยู่สลับทิศกัน นั่นคือที่วัดพระเชตุพนพระพุทธรูปไสยาสน์อยู่ด้านทิศใต้ พระพุทธรูปประทับนั่งอยู่ด้านทิศเหนือ ส่วนที่วัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปไสนาสน์อยู่ด้านทิศเหนือ พระพุทธรูปประทับนั่งอยู่ด้านทิศใต้ นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานถึงเหตุที่วางตำแหน่งสลับกันเช่นนี้ว่าอาจเกิดจากคติความเชื่อที่แตกต่างกันโดยอาจเป็นไปได้ว่าผู้สร้างชาวกำแพงเพชรในเวลานั้นมีความเชื่อแบบชาวกรุงศรีอยุธยา (ซึ่งในช่วงเวลานั้นได้ขึ้นมามีอำนาจเหนือกำแพงเพชรแล้ว) ที่เชื่อว่าทิศตะวันตกเป็นทิศอัปมงคลจึงไม่นิยมสร้างให้พระเศียรของพระพุทธรูปหันไปทางทิศตะวันตกต่างจากความเชื่อของสุโขทัยที่ไม่เคร่งครัดในเรื่องนี้และด้วยเหตุที่ท่าทางของพระพุทธรูปไสยาสน์ที่ถูกจำกัดว่าต้องทำตามคติแบบสีหไสยาสน์ (ตะแคงขวา)เท่านั้น ดังนั้นที่วัดพระสี่อิริยาบถจึงต้องย้าย พุทธรูปใสยาสน์มาอยู่ทางทิศเหนือเพื่อให้พระเศียรหันไปทางทิศตะวันออกแทน อย่างไรก็ตามอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่าการที่พระพุทธรูปไสยาสน์ในชุดของพระสี่อิริยาบถซึ่งสื่อถึงปางปรินิพพานอาจมีความหมายสื่อไปในทางที่ไม่เป็นมงคลดังนั้นจึงอาจมีคติไม่สร้างพระพุทธรูปปางปรินิพพานเข้าหาตัวเมืองจึงจำเป็นต้องหันออกไปนอกเมืองทำให้ตำแหน่งของพระพุทธรูปไสยาสน์ต้องสลับที่กัน
ภาพที่ 3 แสดงพุทธรูปในบริเวณวัดพระสี่อิริยาบถ
ภาพที่ 4 แสดงบริเวณวัดพระสี่อิริยาบถ
ภาพที่ 5 แสดงบริเวณด้านหลังพระประธานในบริเวณวัดพระสี่อิริยาบถ
ลักษณะสิ่งปลูกสร้าง[แก้ไข]
กำแพงวัด เป็นศิลาแลงปักตั้งล้อม 4 ด้าน มีทางเข้าปูด้วยศิลาแลง มีศาลาโถงปลูกคร่อมทางเดินเป็นศาลากว้าง 6 เมตร ยาว 11 เมตร เป็นเสา 4 แถว 5 ห้อง ต่อจากศาลาหน้าวัดมีประตูเข้าไปในบริเวณวัดแล้วถึงฐานศิลาแลงใหญ่ ยกฐานสูงประมาณ 2 เมตร มีเสาลูกกรงเป็นศิลาแลงเหลี่ยมและมีทับหลังลูกกรงเตี้ย ๆ สูงประมาณ 60 เซนติเมตร อยู่โดยรอบ ฐานนี้มีบันไดขึ้นด้านหน้า 2 บันได ด้านข้าง 2 บันไดและด้านหลังอีก 2 บันได บนฐานวิหารกว้าง 17 เมตร ยาว 29 เมตร ย่อมุขเด็จทั้งหน้าและหลัง เสาวิหารที่อยู่บนฐานเป็นเสา 4 แถว 5 ห้อง 2 แถว หน้าและหลัง 2 ห้อง รวม 7 ห้อง ที่ฐานชุกชี มีรอยตั้งพระพุทธรูปนั่งด้านหลังวิหารมีบันไดลงติดต่อกับมณฑปพระอิริยาบถ โดยรอบมณฑปกำแพงแก้วเตี้ย ๆ เหลือแต่ฐาน มีประตูเข้าด้านข้าง 2 ข้าง และด้านหลังมณฑปกว้าง 29 เมตร เป็นมณฑปสี่หน้า ด้านหน้ามีพระพุทธรูปปางลีลา ด้านข้างเหนือมีพระพุทธรูปนั่ง พระพุทธรูปปูนปั้นทั้ง 3 ด้าน
ภาพที่ 6 แสดงรูปแบบสันนิฐานของวัดพระสี่อิริยาบถ
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม[แก้ไข]
มณฑปพระสี่อิริยาบถรวมทั้งหมด 6 แบบ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีหลังคาเป็นจั่วแบบจัตุรมุข และกลุ่มที่มีหลังคาเป็นทรงมณฑป ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อเด่นข้อด้อยต่างกันไป แต่ข้อสรุปร่วมกันที่สำคัญก็คือ การสร้างสรรค์ลักษณะสถาปัตยกรรมของมณฑปพระสี่อิริยาบถนั้นมีความสัมพันธ์กันกับตัวพระพุทธรูปสี่อิริยาบถอย่างสอดคล้องส่งเสริมกัน
ยุคทางโบราณคดี[แก้ไข]
ยุคประวัติศาสตร์
สมัย/วัฒนธรรม[แก้ไข]
สมัยสุโขทัย, สมัยอยุธยา, สมัยอยุธยาตอนต้น, สมัยอยุธยาตอนกลาง
อายุทางโบราณคดี[แก้ไข]
พุทธศตวรรษที่ 20 – 21
ข้อมูลทั่วไป[แก้ไข]
ภาพที่ 7 ทางเข้าวัดก่อนที่จะถึงบริเวณโบสถ์
วัดนาควัชรโสภณ (วัดช้าง) พระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 11 ซอย 2 ถนนราชดำเนิน 2 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร รหัสไปรษณีย์ 62000 โทรศัพท์ (055) 854-881 มีเนื้อที่ 62 ไร่ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2511 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2513 ผูกพัทธสีมา เมื่อ พ.ศ. 2513 โดยสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อุฏฐายีมหาเถระ) เป็นประธานสงฆ์ ในพรรษากาล 2560 มีพระภิกษุ 21 รูปสามเณร 43 รูป อารามิกชน 10 คน มีพระเทพวัชราภรณ์ (เฉลิม วีรธมโม) เป็นเจ้าอาวาสพระครูโสภณวัชรคุณ (สุขกรีรตนโชโต) พระครูวัชรธรรมโกวิท (เพลินชัย) พระมหาบรรจง ชุติวณโณ, ดร. และพระครูปลัดเกิดชัย คุตตธมุโมเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส มีนายจันทร์ รอดพันธ์ และ นายวิวัฒน์ ยามา เป็นไวยาวัจกร
วัดนาควัชรโสภณ ได้รับการยกย่องให้เป็นวัดอุทยานการศึกษา และเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง เมื่อปีพ.ศ.2538 และในปีพุทธศักราช 2539 เนื่องในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยกฐานะวัดนาควัชรโสภณ ขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2539 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาประมาณมิได้ ยังความปลื้มปิติแก่บรรพชิตและปวงพสกนิกรพุทธศาสนิกชนชาวกำแพงเพชร
ชื่อแหล่งโบราณสถาน[แก้ไข]
วัดนาควัชรโสภณพระอารามหลวงกำแพงเพชร
ชื่อเรียกอื่น ๆ[แก้ไข]
วัดช้าง
ที่ตั้ง/ที่อยู่[แก้ไข]
ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 32 ถนนกำแพงเพชร-สุโขทัยตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร รหัสไปรษณีย์ 62000
ที่ตั้งพิกัดทางภูมิศาสตร์[แก้ไข]
ละติจูด 16°29'34.68"น ลองจิจูด 99°31'22.22"ตะวันออก
สภาพธรณีวิทยา[แก้ไข]
สภาพรอบข้างอุดมสมบูรณ์บางแห่ง และเป็นบริเวณที่มีป่าดิบชื้น และคูน้ำล้อมรอบวัด
สถานะการขึ้นทะเบียน[แก้ไข]
องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534
ข้อมูลทางโบราณคดี[แก้ไข]
ประวัติความเป็นมาของวัดนาค[แก้ไข]
วัดนาควัชรโสภณ เดิมชื่อ วัดช้าง สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยตอนปลาย ประมาณหลังพุทธ-ศตวรรษที่ 19 เป็นวัดที่มีความสำคัญ ตั้งอยู่หน้าเมืองด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงข้ามกับวัดเจ้าเมืองกำแพงเพชรเป็นวัดอยู่ในกลุ่มอรัญญิกด้านทิศตะวันออก รูปแบบสภาพแวดล้อมทั้งหมดได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะสมัยลพบุรีหรือขอม นอกจากนี้ยังพบร่องรอยของถนนพระร่วงตัดผ่านหน้าวัดนี้ด้วย วัดช้างนับเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาประมาณ 700 ปีเศษลักษณะสภาพโดยทั่วไปของกลุ่มโบราณสถานจะถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำกว้างประมาณ 10 เมตร ยาวประมาณ 509 เมตร มีเนื้อที่ตั้งวัด 62 ไร่ การคมนาคมสะดวก บริเวณวัดสะอาดร่มรื่น สวยงาม วัดช้าง เป็นวัดที่ร้างจากพระสงฆ์มาประมาณ 400 - 500 ปีครั้นลุถึงปีพุทธศักราช ในปีพ.ศ. 2509 พระวิชัย ปสนุโน ได้จาริกธุดงค์มาปักกลดจำพรรษาอยู่ ณ บริเวณ เจดีย์โบราณสถานวัดช้าง โดยในช่วงดังกล่าวได้ปฏิบัติธรรมและเทศนาอบรมสั่งสอนพุทธ ศานิกชนแถบถิ่นนี้เป็นอย่างดี จนทำให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความเลื่อมใสศรัทธา และได้อุปัฏฐากบำรุงท่านเป็นลำดับ ต่อมา จ.ส.อ.ศักดิ์ และนางสังเวียน เดชานนท์ มีจิตศรัทธาบริจาคที่ดินมอบถวายให้สร้างวัด และภายหลังมีผู้ซื้อที่ดินถวายเพิ่มเติมอีก รวมเป็นเนื้อที่ทั้งสิ้น 76 ไร่ 1 งานเศษ จากนั้นได้เริ่มสร้างเสนาสนะที่พักอาศัย สาธารณูปการที่จำเป็นต่าง ๆ มีการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย และปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสามเณรที่มาอยู่จำพรรษาที่วัดช้างแห่งนี้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ภาพที่ 8 ตำหนักสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช
ในปี พ.ศ.2511 ได้ขออนุญาตสร้างวัด และเริ่มก่อสร้างอุโบสถ โดยได้รับความอุปถัมภ์จากพระราชมุนี (โฮม โสภโณ) วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร และได้สร้างตำหนักทรงธรรมสังฆราชานุสรณ์ เพื่อเตรียมรับเสด็จ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อุฏฐายีมหาเถระ) ซึ่งได้เสด็จมาทรงยกช่อฟ้าอุโบสถ ใน พ.ศ.2513 สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จวนอุฏฐายี) ได้ประทานชื่อจากวัดช้าง (เดิม) เป็น “วัดนาควัชรโสภณ” และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศตั้งเป็นวัดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2513 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2513 มีพื้นที่ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 11 ซอย 2 ถนนราชดำเนิน 2 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร จึงนับได้ว่า “วัดนาควัชรโสภณ (วัดช้าง)” เป็นวัดของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต แห่งแรกในจังหวัดกำแพงเพชร พระครูนาควัชราธร (วิชัย ปสนฺโน) เป็นพระสุปฏิปันโน รักษาข้อวัตรปฏิบัติตามแนวพระกัมมัฏฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ชาวจังหวัดกำแพงเพชรให้ความเคารพนับถือท่านเป็นอันมากนอกจากการเผยแผ่หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแก่ประชาชนโดยทั่วไปแล้ว ท่านยังได้จัดให้มีการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณรอีกด้วย ในขณะเดียวกันก็ได้พัฒนาด้านสาธารณูปการต่าง ๆ ภายในวัดอีกทั้งได้ขยายวัดและสำนักสงฆ์ออกไปสู่ตำบล และอำเภออื่นอีกหลายแห่ง ด้านการคณะสงฆ์ พระครูนาควัชราธร (วิชัย ปสนฺโน) ได้รับความเมตตาจากพระเถระผู้ใหญ่ให้การอุปถัมภ์สนับสนุน อาทิ พระธรรมจินดาภรณ์ (ทองเจือ จินฺตเถโร) วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม, พระอริยเมธี (ปฐม อุดมดี) และพระราชมุนี (โฮม โสภโณ) วัดปทุมวนาราม ร่วมกับคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย และอุบาสก อุบาสิกา ได้ร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้างวัดและสำนักสงฆ์ขึ้นในเขตพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรอีกหลายแห่ง จนสามารถตั้งเป็นเขตการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดกำแพงเพชร - พิจิตร (ธรรมยุต) โดยพระครูนาควัชราธร (วิชัย ปสนฺ-โน) เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดนาควัชรโสภณ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอจังหวัดกำแพงเพชร - พิจิตร (ธรรมยุต) เป็นองค์ปฐม วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 พระครูนาควัชราธร (วิชัย ปสนฺโน) ได้มรณภาพลงด้วย โรคกลัวน้ำ รวมสิริอายุ 56 ปี 3 เดือน นับว่าวงการคณะสงฆ์ได้สูญเสียพระสังฆาธิการที่มีความคิดริเริ่มพัฒนา และวางรากฐานของงานคณะสงฆ์ธรรมยุตในเขตภาคนี้ให้เป็นปึกแผ่นไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง ต่อมา พระมหาสมจิตต์ อภิจิตฺโต กรรมการเลขานุการ มูลนิธิปริยัติศึกษา ญสส. ใน-พระสังฆราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นศิษย์ของพระครูนาควัชราธร (วิชัย ปสนฺโน) ที่ไปพำนักจำพรรษาอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร โดยความอุปถัมภ์สนับสนุนจากพระเถระผู้ใหญ่ อาทิ พระ-พรหมมุนี (วิชมัย ปุญฺญาราโม) วัดบวรนิเวศวิหาร และ นายวัลลภ เจียรวนนท์ กรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้พาคณะญาติโยมผู้มีจิตศรัทธามาช่วยกันก่อสร้างอาคารเรียนพระปริยัติธรรม อาคารที่พักพระภิกษุ-สามเณร อาคารหอสมุด และตำหนักสมเด็จพระสังฆราช เพื่อพัฒนาวัดให้เป็นสถานที่ศึกษา และปฏิบัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณรให้เป็นที่สัปปายะยิ่งขึ้น และนอกจากนี้ยังได้เปิดโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ขึ้น เพื่ออบรมเยาวชนให้ได้รับความรู้ด้านศีลธรรม หลักธรรมตามแนวทางแห่งพระพุทธศาสนา ตลอดจนจริยธรรมอันดีงาม และได้ก่อตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วชิรกุญชร มัธยม เพื่อการศึกษาวิชาสามัญศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณรอีกด้วย และในช่วงเดียวกันนี้ พระครูโสภณธรรมวัชร์ (เฉลิม วีรธมฺโม) ได้มาดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้า-อาวาสวัดนาควัชรโสภณ และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 พร้อมกับดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอจังหวัดกำแพงเพชร - พิจิตร (ธรรมยุต) สืบต่อจากพระครูนาควัชราธร (วิชัย ปสนฺโน) เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดนาควัชรโสภณ ที่ได้มรณภาพลง เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2534 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา-สังฆปริณายก ได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในการพระราชทานเพลิงศพพระครูนาควัชราธร (วิชัยปสนุโน) และเสด็จเป็นองค์ประธานประกอบพิธีเปิดอาคารสมเด็จพระญาณสังวร หอสมุดสมเด็จพระญาณสังวร และตำหนักสมเด็จพระสังฆราช ต่อมาได้มีการปรับปรุงบริเวณพื้นที่และก่อสร้างอาคารเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัดนาควัชรโภณเป็นลำดับคือ พ.ศ.2535 ก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษามหาราชินี, พ.ศ.2536 ก่อสร้างอาคาร 80 พรรษา สมเด็จพระสังฆราช วิหารพระไพรีพินาศ, อาคารที่พักพระภิกษุ - สามเณร เป็นต้น รวมงบประมาณการพัฒนาด้านสาธาณูปการ และการจัดการศึกษาแผนกต่าง ๆ ของสำนักเรียนวัดนาควัชรโสภณ ที่ได้รับการอุปถัมภ์จากมูลนิธิปริยัติศึกษา ญสส. ในพระสังฆราชูปถัมภ์ โดยการบริจาคร่วมของพุทธศาสนิกชน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 60,477,476 บาท ปัจจุบัน วัดนาควัชรโสภณ ใช้เป็นศูนย์กลางการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมแผนกบาลี แผนกสามัญศึกษา และยังเป็นศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์สำหรับเยาวชนแห่งแรกและแห่งเดียวในจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสำนักเรียนที่ใช้เป็นสถานที่สอบธรรมชั้นนวกะ-ภูมิและสอบธรรมสนามหลวง สำหรับพระภิกษุสามเณรฝ่ายธรรมยุตมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการปกครองคณะสงฆ์ในเขตนี้อีกด้วย จนได้รับการยกย่องให้เป็นวัดอุทยานการศึกษา และเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง เมื่อปี พ.ศ.2538 และในปี พ.ศ.2539 ได้ยกฐานะวัดนาควัชรโสภณขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2539
ภาพที่ 9 หอสวดมนต์และอาคารเรียน
พุทธศักราช 2542 พระจันทโคจรคุณ (เฉลิมวีรธมโม) เจ้าอาวาสวัดนาควัชรโสภณ ได้ดำรงตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ เป็นเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร - พิจิตรพิษณุโลก - สุโขทัย -อุตรดิตถ์ - ตาก (ธรรมยุต) พ.ศ. 2543 พระจันทโคจรคุณ (เฉลิม วีรธมโม) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ที่ “พระราชสารโมลี” เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2543 และ พ.ศ.2559 พระราชสารโมลี (เฉลิม วีรธมโม) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ที่ “พระเทพวัชราภรณ์”
ลักษณะสิ่งปลูกสร้าง[แก้ไข]
1. เจดีย์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางลานฐานทักษิณสลักเป็นรูปช้างครึ่งตัวยืนอยู่โดยรอย 68 เชือกหัวหันออกมาจากฐาน มีกำแพงแก้วประมาณ 3 ศอกล้อมอยู่โดยรอบ เจดีย์ด้านบนเหลือเพียงฐานแปดเหลี่ยมและหน้ากระดานกลม 2. ฐานของโบสถ์เก่าเหลือเป็นแท่นศิลาและองค์พระพุทธรูปปูนปั้น 3. มณฑปเก่า เป็นบันไดนาค 7 เศียร บันไดสูงขึ้นไปยอดมณฑป 4. เจดีย์เก่า เหลือแต่พื้นฐานและพระพุทธรูป อยู่ในความดูแลอนุรักษ์โดยกรมศิลปากร
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม[แก้ไข]
รูปแบบสภาพแวดล้อมทั้งหมดได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะสมัยลพบุรีหรือขอม
สมัย/วัฒนธรรม[แก้ไข]
การทอดกฐินหรือการกรานกฐิน เป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา พระสงฆ์สามารถทำสังฆกรรมนี้นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ปัจจุบันจะจำได้แม่นยำที่เรียกว่า วันลอยกระทงวันเพ็ญเดือน 12 นั่นเอง การทอดกฐินจึงถือเป็นกิจกรรมสำคัญของซึ่งแต่เดิมมา จีวรมีไม่มาก บางองค์ชำรุด แต่เดิมการถวายผ้ากฐินนั้น จัดเป็นสังฆทาน คือถวายแด่ภิกษุสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งไม่เฉพาะเจาะจงหรือคณะสงฆ์นำผ้าไปอุปโลกน์ยกให้ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามที่คณะสงฆ์ลงมติ (ญัตติทุติยกรรมวาจา) และกาลทานตามกำหนดเวลา การรับกฐินของแต่ละวัดจะรับได้เพียงปีละครั้งเดียวจึงถือเป็นพิธีการทอดกฐินที่ชาวพุทธนับถือปฏิบัติเป็นที่นิยมกันสืบทอดต่อกันมาโดยเฉพาะประเทศไทยพิธีการทอดกฐินจะมีทั้งการทอดกฐินหลวง และการจัดทำพิธีโดยราษฎรทั่วไป กฐินหลวงจะเป็นพิธีการที่ถวายผ้าพระกฐินของพระมหากษัตริย์ จัดเป็นพระราชพิธีสำคัญประจำปี มีทั้งผ้าไตรจีวรรวมทั้งของบริวาร ซึ่งเป็นทั้ง เงิน วัตถุสิ่งของ ที่เป็นวัตถุประกอบใน พระราชพิธีการทอดผ้าพระกฐิน บางท่านจะเรียกว่า เทศกาล ทอดกฐิน กฐิน เป็นคำภาษาบาลี แปลว่าไม้สะดึง อกรอบไม้ สำหรับขึงผ้าเย็บทำเป็นจีวรในสมัยโบราณ ผ้ากฐิน คือ ผ้าที่เย็บจากไม้แบบ
อายุทางตำนาน[แก้ไข]
700 ปีเศษ
ประเภทของแหล่งโบราณคดี[แก้ไข]
วัดโบราณ
ข้อมูลการสำรวจ[แก้ไข]
วันเดือนปีที่สำรวจ[แก้ไข]
1 ตุลาคม พ.ศ.2562
วันปรับปรุงข้อมูล[แก้ไข]
3 ตุลาคม พ.ศ.2562
ผู้สำรวจข้อมูล[แก้ไข]
นายณัฐพล วรรณ์สุทธะ นางสาววีรวรรณ แจ้งโม้ นางสาววรัญญา ภู่สงค์ นางสาวสรณ์ศิริ ก้อนจ้าย นางสาวฑิฆัมพร บัวทอง นางสาวกรรณิการ์ ธรรมกุล
คำสำคัญ (Tag)[แก้ไข]
วัดพระสี่อริยบถ, วัดนาควัชรโสภณ,โบราณสถาน, กำแพงเพชร