ฐานข้อมูล เรื่อง กลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยง (ปากะญอ) บ้านคลองน้ำไหล จ.กำแพงเพชร

จาก KPPStudies
ไบยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

ข้อมูลทั่วไป[แก้ไข]

ชื่อชาติพันธุ์[แก้ไข]

         ปกาเกอะญอ

ที่ตั้ง[แก้ไข]

         หมู่ 18 ตำบลคลองลานพัฒนา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร

ชื่อที่ผู้อื่นเรียก[แก้ไข]

         กะเหรี่ยง

ภาษา[แก้ไข]

         กะเหรี่ยงแต่ละเผ่ามีภาษาพูด และภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยการดัดแปลงมาจากตัวหนังสือพม่า ผสมอักษรโรมัน
1 ภาษาพม่าผสมอักษรโรมัน.jpg

ภาพที่ 1 ภาษาพม่าผสมอักษรโรมัน

2 อักษรการเขียนของคนปกาเกอะญอ.jpg

ภาพที่ 2 อักษรการเขียนของคนปกาเกอะญอหมู่บ้านกะเหรี่ยงน้ำตก

ภาษากะเหรี่ยงที่แปลเป็นภาษาไทย

ลำดับที่ ภาษากะเหรี่ยง ภาษาไทย
1 โอ๊ะมื่อโซเปอ คำทักทาย/สวัสดี
2 เนอะ โอ๋ ชู่ อะ สบายดีไหม/ครับ/ค่ะ
3 นาเนอะ มี ดี หลอ คุณชื่ออะไร
4 ยา เจ่อ มี เลอะ / ชิ ผมชื่อ/เล็ก
5 เน่อะ โอ๊ะ พา หลอ คุณอยู่ที่ไหน
6 ยา เจ่อ โอ๊ะ เลอะ / เจียงฮาย ผมอยู่ที่/เชียงราย
7 นา เน่อ นี่ แปว หลอ คุณอายุเท่าไหร่
8 ซะ คือ เลอะ เน่ สิยา บะ นะ ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณ
9 คี เลอะ นา เน่อ เก๊อะ บะ ต่า โช่ เง ขอให้คุณจงโชคดี
10 ตะ บลือ ขอบคุณ/ครับ/ค่ะ
11 เยอะ แอ่ะ จู ฉันรักเธอ
12 วี ซะจู เป็นคำกล่าวขออภัย/ขอโทษ
13 ดี หลอ อี เท่าไหร่ครับ/ค่ะ
14 มา เจอ ยา เจ๋ ช่วยฉันด้วย
15 ต่า นี ยา อี วันนี้
16 งอ คอ ตอนเช้า
17 มื่อ ทู่ ตอนบ่าย
18 มื่อ หา ลอ ตอนเย็น
19 เน่อ จะ แหล อะไรนะ
20 เอาะ เม กินข้าว
21 เอาะ ที กินน้ำ
22 พะ แหละ ตอ หลอ ที่ไหน
23 เย่อ ซะ เก่อ ยื่อ บะ นา ฉันคิดถึงเธอ
24 โอ๋ ชู่ สบายดี
25 ชิ้ หลอ เมื่อไหร่
26 แล พะ หลอ เก ไปไหนมา
27 บะ หลอ ทำไม
28 เต่อ บะ เน่อะ มี บ๋า ไม่เป็นไร
29 มื่อ ฮา นี เมื่อวาน

ประวัติความเป็นมาหมู่บ้านกะเหรี่ยงน้ำตกคลองลาน[แก้ไข]

         บริเวณพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรส่วนที่เป็นที่ราบลุ่มของฟากฝั่งแม่น้ำปิงเป็นพื้นที่ราบติดต่อกับที่ราบลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน และสามารถติดต่อเลยไปถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำป่าสักในจังหวัดเพชรบูรณ์ลงมา ขณะเดียวกันทางทิศเหนือและทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ที่เป็นภูเขา ที่ราบในท้องที่จังหวัดกำแพงเพชรจึงเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงที่อยู่ทางเหนือสุดที่มีความเหมาะสมในการตั้งชุมชมในสมัยโบราณ และยังเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และทรัพยากรทางธรรมชาติ ประชากรในพื้นที่ประกอบด้วยคนพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น ปกาเกอะญอ ม้ง ลีซอ ไทยทรงดำ รวมทั้งการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของคนอีสาน และคนเมือง (ภาคเหนือ) ที่เข้ามาอย่างน้อย 50 ปีทีผ่านมาโดยมีการตั้งถิ่นฐานในเขตอำเภอเมืองรอบนอก ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงและลำน้ำสาขาต่างๆ มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบกึ่งสังคมชนบท พึ่งพิงระบบการผลิตแบบเกษตรกรรมเป็นหลัก พื้นที่ในเขตตำบลคลองลานก็เช่นกัน มีลักษณะภูมิประเทศ เป็นที่ราบเชิงเขา มีภูเขาสลับซับซ้อนเป็นจำนวนมาก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินปนทราย พื้นที่ภูเขาเป็นป่าไม้อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีน้ำตกตลอดปี คือ น้ำตกคลองลานทำให้พื้นที่เหมาะสมแก่การปลูกพืชไร่ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา และเลี้ยงสัตว์ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และผลไม้ยืนต้น 
         กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หรือเดิมเรียกกันว่ากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีการอพยพย้ายถิ่นฐานกระจายไปทั่วประเทศไทย และส่วนหนึ่งได้มาตั้งถิ่นฐานที่อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งจากการสำรวจ มี 2 หมู่บ้าน คือ 
             1. หมู่ 3 บ้านคลองน้ำไหลใต้ ตำบลคลองลานพัฒนา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร มีจำนวนประมาณ 80 หลังคาเรือน อาชีพหลัก คือ รับจ้างทำไร่มันสำปะหลัง
             2. หมู่ 18 บ้านกะเหรี่ยงน้ำตก ตำบลคลองลานพัฒนา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร มีจำนวนประมาณ 100 หลังคาเรือน อาชีพหลัก คือ ทำไร่มันสำปะหลังและหาของป่าขาย
         หมู่บ้านกะเหรี่ยงน้ำตกคลองลาน 
         หมู่บ้านกะเหรี่ยงน้ำตกคลองลาน ตั้งอยู่หมู่ที่ 18 ตำบลคลองลานพัฒนา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร ประชากรที่อาศัยในหมู่บ้านเป็นชนเผ่าปะกาเกอะญอ ที่มีการอพยพย้ายถิ่นฐานกระจายไปทั่วประเทศไทย และส่วนหนึ่งเดิมได้มาตั้งถิ่นฐานในเขตอุทยานแห่งชาติคลองลาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่สูงขึ้นไปในหมู่บ้านในปัจจุบัน โดยบริเวณที่อยู่อาศัยเดิมเป็นส่วนหนึ่งของบ้านสวนส้มหมู่ที่ 2 ตำบลคลองลานพัฒนา จากนั้นรัฐบาลมีนโยบายผลักดันชาวเขาออกจากพื้นที่ป่า และได้ประกาศจัดตั้งให้เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติคลองลาน เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2525 ปัจจุบันชาวปะกาเกอะญอมีอาชีพหลักคือ ทำไร่มันสำปะหลัง และหาของป่าขาย มีผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สร้างรายได้ คือ ผ้าทอกะเหรี่ยง และหมู่บ้านกะเหรี่ยงน้ำตกคลองลานยังได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ทั้งภาษาและชุดประจำเผ่า ที่ชาวปกาเกอะญอยังคงใส่ในงานประเพณีที่สำคัญ 
         วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าปะกากะญอบ้านน้ำตกคลองลานยังคงมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นตามแบบวิถีชีวิตของชาวปะกาเกอะญอ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยมากมาย ชาวบ้านที่นี่ยังคงเรียบง่าย รักความสันโดษ มีการปลูกผัก เลี้ยงหมูและไก่ไว้รับประทานในครอบครัว 

วิถีชีวิต[แก้ไข]

วิถีชีวิตด้านอาชีพ[แก้ไข]

         กะเหรี่ยงน้ำตกคลองลานส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอิสระ กะเหรียงดั้งเดิมจะประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา ทำไร่มันสำปะหลังอยู่ตามป่าตามเขา ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล ส่วนสัตว์เลี้ยงก็จะเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารมากกว่าการค้าขาย ใช้ชีวิตแบบพึ่งป่าพึ่งน้ำอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ 
3 ชาวปกาเกอะญอจะใช้เวลาว่างในการสานตะกร้าขาย.jpg

ภาพที่ 3 ชาวปกาเกอะญอจะใช้เวลาว่างในการสานตะกร้าขาย

ลักษณะบ้านเรือน[แก้ไข]

         ชาวกะเหรี่ยงนิยมปลูกบ้านไว้ตามเชิงเขาอยู่เป็นกลุ่ม กลุ่มละ 2-4 หลัง บางส่วนก็ตั้งบ้านเรือนบนที่ราบเช่นเดียวกับชาวพื้นราบทั่วไป ชาวะเหรี่ยงนิยมตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งถาวร ไม่ย้ายถิ่นบ่อยๆ รูปแบบเรือนกะเหรี่ยง เป็นเรือนหลังคาจั่วความชันต่ำทรงหมาแหงน สร้างเป็นบ้านยกพื้นสูง มีชานบ้าน บริเวณใต้ถุนเรือนจะใช้เก็บฟืนและเลี้ยงสัตว์ ลักษณะบ้านจะก่อตั้งด้วยไม้ไผ่โดยหลังคานั้นก่อสร้างด้วยใบแตนที่มีอยู่ในท้องถิ่น ใช้งานได้ประมาณ 2-3 ปี แล้วก็จะเปลี่ยนใหม่ ซึ่งหาได้ในป่าบนภูเขา ผนังเรือนเป็นไม้ไผ่สาน ด้านหน้าเรือนเป็นไม้แผ่นปูเว้นร่อง ภายในเรือนมีการจัดเตาไฟไว้บริเวณกลางห้อง ส่วนด้านหน้าจัดไว้เป็นส่วนเก็บอาหารแห้ง และเก็บของใช้ ห้องส้วมสร้างแยกต่างหากจากตัวบ้าน 
4 ต้นแตน.jpg

ภาพที่ 4 ต้นแตน ซึ่งชาวปกาเกอะญอนำมาทำหลังคาบ้าน

5 ลักษณะบ้านเรือนของคนปกาเกอะญอ.jpg

ภาพที่ 5 ลักษณะบ้านเรือนของคนปกาเกอะญอ

ลักษณะการแต่งกายของชนเผ่ากะเหรี่ยง หรือ ปกาเกอะญอ[แก้ไข]

ลักษณะการแต่งกายของชนเผ่ากะเหรี่ยงหรือ ปกากะญอ กะเหรี่ยงในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กะเหรียงสะกอ กะเหรี่ยงโป และ อีก 2 กลุ่ม คือ คะยา หรือบะเว และตองสู หรือพะโอ กะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ เหล่านี้มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน แต่การแต่งกายของแต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะของตนเองที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นลักษณะการแต่งกายจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถบ่งชี้ให้เห็นได้ชัดเจนถึงเอกลักษณ์ของกะเหรี่ยงแต่ละกลุ่ม การแต่งกายของเด็กและหญิงสาวจะเป็นชุดทรงกระสอบ ผ้าฝ้ายพื้นขาว ทอหรือปักประดับลวดลายให้งดงาม ส่วนหญิงที่มีครอบครัวแล้วจะสวมเสื้อสีดำ น้ำเงิน และผ้านุ่งสีแดงคนละท่อน ตกแต่งด้วยลูกเดือย หรือทอยกดอก ยกลาย สำหรับผู้ชายกะเหรี่ยงนั้นส่วนมากจะสวมเสื้อตัวยาวถึงสะโพก ตัวเสื้อจะมีการตกแต่งด้วยแถบสีไม่มีการปักประดับเหมือนเสื้อผู้หญิง นุ่งกางเกงสะดอ นิยมใช้สร้อยลูกปัดเป็นเครื่องประดับ และสวมกำไลเงินหรือตุ้มหู

         ปัจจุบันกลุ่มกะเหรี่ยงที่ยังคงสวมใส่เครื่องแต่งกายประจำเผ่าในวิถีชีวิตปกติ มีเพียงกลุ่มโป และสะกอเท่านั้น ส่วนกลุ่มคะยา และตองสูไม่สวมใส่ชุดประจำเผ่า ในชีวิตประจำวันแล้ว กะเหรี่ยงแต่ละกลุ่ม นอกจากจะมีการแต่งกายที่แตกต่างกัน กะเหรี่ยงกลุ่มเดียวกันแต่อยู่ต่างพื้นที่ ก็มีลักษณะการแต่งกายไม่เหมือนกันด้วย เช่น กะเหรี่ยงโปแถบอำเภอแม่เสรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่งกายมีสีสันมากกว่าแถบจังหวัดเชียงใหม่ หญิงกะเหรี่ยงสะกอแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน และอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ตกแต่งเสื้อมีลวดลายหลากหลาย และละเอียดมากกว่าแถบจังหวัดตาก หรือกะเหรี่ยงโปแถบจังหวัด กาญจนบุรี ก็มีลวดลายตกแต่งเสื้อผ้าแตกต่างจากภาคเหนือ ในจังหวัดเชียงรายที่มีการนำแฟชั่นใหม่ๆ มาทำซึ่งมีลักษณะที่แปลกออกไป เช่น ทำผ้าปูโต๊ะที่มีลวดลายประยุกต์ใหม่ๆ และมีลายปักแบบลายไทยอีกมากมายซึ่งเป็นไปตามยุคสมัย และการพัฒนาของเทคโนโลยี                                                
6 ชุดชาวปกาเกอะญอที่ยังไม่มีครอบครัว.jpg

ภาพที่ 6 ชุดชาวปกาเกอะญอที่ยังไม่มีครอบครัว จะเป็นลักษณะชุดยาว

         อย่างไรก็ตามกลุ่มกะเหรี่ยงสะกอ และโปในทุกจังหวัดของประเทศไทย ยังคงรักษาลักษณะร่วมที่แสดงสถานะของหญิงสาว และหญิงแม่เรือนเช่นเดียวกัน คือ หญิงทุกวัยที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต้องสวมชุดยาวสีขาว (เช ควา) เมื่อแต่งงานแล้วจะต้องเปลี่ยนมาเป็นสวมใส่เสื้อสีดำ หรือที่เรียกว่า "เช โม่ ซู" และผ้าถุงคนละท่อนเท่านั้น ห้ามกลับไปสวมใส่ชุดยาวสีขาวอีก ส่วนผู้ชายทั้งกลุ่มโป และสะกอแถบภาคเหนือมักสวมกางเกงสีดำ และสีน้ำเงิน หรือกรมท่า ในขณะที่แถบจังหวัดตาก และอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มักสวมโสร่ง ลักษณะเสื้อผู้ชายวัยหนุ่มใช้สีแดงทุกกลุ่ม แต่มีลวดลายมากน้อย ต่างกัน การแต่งกายในโอกาสพิเศษ เช่น พิธีปีใหม่ พิธีแต่งงาน เน้นสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ จะเห็นชัดว่าชายหนุ่ม และหญิงสาวจะพิถีพิถันแต่งกายสวยงามเป็นพิเศษ

นิทานพื้นบ้านของชาวปกาเกอะญอ[แก้ไข]

         ชนเผ่า "ปกาเกอะญอ" เป็นชนเผ่าที่บอกกล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมานับร้อยนับพันเรื่อง เรียงร้อยเก็บไว้ในเเนวของนิทาน อาจจะไม่ใช่หลักฐานที่เเน่ชัด เเต่ก็พยายามที่จะเล่าสืบทอดให้ลูกหลานได้รู้ ถึงความเป็นมาของเผ่าพันธุ์ และวัฒนธรรมของตัวเอง เล่ากันตั้งแต่สมัยที่พระเจ้าสร้างโลก พระองค์ได้สร้างมนุษย์คู่แรก คือ อดัม กับเอวา ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสวน (เอเดน) ที่พระองค์ได้สร้างไว้ ทั้งสองได้ทำผิดกฎของสวรรค์จึงถูกเนรเทศลงมาใช้กรรมอยู่ในโลกจนกระทั่งมีลูกหลานสืบเชื้อสายมาจนถึงทุกวันนี้ชาวปกาเกอะญอมักมีนิทานประจำเผ่าที่มีเรื่องเล่าต่อกันมาเพื่อเล่าให้เด็ก ๆ ฟัง มีดังนี้
         1.1 คนขี้ขโมย
         มีเด็กคนหนึ่งแม่ส่งไปเรียนหนังสือ ครั้งแรกก็ขโมยดินสอกลับมา ต่อมาก็ขโมยสมุด หนังสือ ชิ้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แม่ก็คอยเก็บซ่อนไว้กลัวคนอื่นจะรู้และเมื่อเขาโตขึ้นเขาก็โดนตำรวจจับขังคุก และเขาก็บอกตำรวจว่าเขาอยากเจอแม่ ตำรวจจึงไปพาแม่มา เมื่อแม่มาเขาก็บอกให้แม่เข้ามาใกล้ ๆ เมื่อแม่เข้าไปใกล้ เขาก็กัดหูแม่จนขาด แล้วก็กล่าวโทษแม่ว่าเป็นเพราะแม่คนเดียวที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะแม่ไม่สั่งสอนเขาให้ดีคอยช่วยปกปิดความผิดของเขา
         1.2 คนโง่เขลา
         มีพี่น้องสองคนอาศัยอยู่ด้วยกัน และพวกเขาก็มียายแก่ ๆ ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้อีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ด้วย ทุกๆวันผู้เป็นพี่ชายก็จะต้มน้ำและอาบน้ำให้ยาย วันหนึ่งเมื่อพี่ชายต้องออกไปข้างนอกก็ได้ บอกกับน้องชายว่าวันนี้พี่จะออกไปข้างนอกนะอยู่บ้านช่วยต้มน้ำและอาบน้ำให้ยายด้วย เมื่อถึงเวลาเขาก็ต้มน้ำ แล้วก็เอายายลงอาบน้ำที่กำลังร้อน ๆ จนยายนั้นตายเพราะน้ำร้อนลวกเมื่อพี่ชายกลับมากก็ถามถึงยายก็พี่นั่นแหละบอกให้ฉันต้มน้ำแล้วอาบให้ยาย ยายก็เลยตาย เอ้า แล้วทำไมไม่รอหรือผสมให้มันอุ่นก่อนล่ะ เอายายไปฝังเองนะ เขาจึงเอาเสื่อห่อตัวยายแล้วก็แบกไปฝัง ไปได้ครึ่งทางยายก็ตก แต่เขาไม่ทันรู้สึกไปถึงก็เอาเสื่อไปฝังคิดว่ายายอยู่ข้างใน พอขากลับก็เห็นศพของยายแก่คนหนึ่งตกอยู่ข้างทางเขาจึงกลับไปบอกพี่ชายว่าพี่ชาย !! คนอื่นเขาก็ตายเหมือนกันนะตอนฉันกลับมาเห็นตกอยู่ข้างทาง
         1.3 ความโกรธ
         มีเจ้าเมืองเมืองหนึ่งมีลูกสาวสวยมาก และเจ้าเมืองก็หวงลูกสาวของตนมาก ด้วยกลัวว่าจะมีคนมายุ่งกับลูกสาวของตน จึงแอบพาลูกสาวของตนไปไว้ในป่าโดยสร้างบ้านให้อยู่ในป่า นาน ๆ จะมาเยี่ยมทีหนึ่ง วันหนึ่งมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กกำพร้าก็ไปเดินเที่ยวในป่า เดิน ๆ ไปก็ไปพบบ้านของหญิงสาวเห็นบ้านของเธอสวยดีจึงเข้าไปดู แล้วก็ได้พบกับหญิงสาว ท่านเป็นใคร ? หญิงสาวถาม เรามาเดินป่า แล้วเจ้าทำไมมาอยู่ในป่าคนเดียวเล่าพ่อของเราเอาเรามาไว้ที่นี่ เจ้ามาเยี่ยมเราบ่อย ๆ ได้มั้ย เราอยู่คนเดียวเหงามากเลย หลังจากนั้นชายหนุ่มก็แวะเวียนมาเยี่ยมหญิงสาวบ่อย ๆ จนในที่สุดทั้งสองก็เกิดความรักต่อกันและแอบได้เสียกันจนหญิงสาวตั้งครรภ์ เมื่อพ่อของนางมาพบก็โกรธมากข้าอุตส่าห์เอาเจ้ามาซ่อนไว้ในป่าแล้วเพราะกลัวว่าจะมีชายหนุ่มมาหลงรักเจ้าแต่เจ้ายังแอบมีจนได้ มันเป็นใคร ลูกสาวตอนแรกก็ไม่กล้าบอก แต่ในที่สุดเมื่อพ่อถามมาก ๆ ก็เลยบอกว่าเป็นเด็กกำพร้าซึ่งในสมัยนั้นเด็กกำพร้าเป็นที่น่ารังเกียจของคนทั่วไป เจ้าเมืองจึงโกรธมาก คว้ามีดฆ่าลูกสาวตาย แต่มาตอนหลังก็รู้สึกคิดถึงลูกสาวและเสียใจกับสิ่งที่ตนทำลงไปแต่เมื่อคิดได้แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
         1.4 ความรักความสามัคคี
         มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีกันอยู่สามคนพ่อลูก เป็นลูกชายทั้งสองคน พ่อก็แก่ชรามากแล้ว และก่อนที่พ่อจะตายพ่อก็ได้เรียกลูกทั้งสองมาสั่งเสีย ลูกเอ้ย พ่อก็แก่มากแล้วนะอาจจะอยู่กับพวกเจ้าได้ไม่นาน พวกเจ้าต้องรักซึ่งกันและกันนะอย่าทะเลาะกันจากนั้นต่อมาไม่นานพ่อก็ได้จากพวกเขาไป พ่อได้ทิ้งผ้าห่มไว้ให้หนึ่งผืนกับควายหนึ่งตัว น้องชายซึ่งเป็นคนนิสัยไม่ค่อยดี พอตกกลางคืนก็ห่มผ้าห่มคนเดียว แต่กลางวันก็ยกให้พี่ชาย ซึ่งกลางวันก็ร้อนแล้วผ้าห่มก็ไม่จำเป็นสำหรับพี่ชายแล้ว พี่ชายจึงเอาผ้าห่มไปซัก เมื่อตกกลางคืนผ้าห่มยังไม่แห้ง น้องชายก็บ่นว่า เอาผ้าห่มไปซักทำไม แล้วจะเอาอะไรห่มก็มันเป็นสิทธิของข้า พี่ชายพูด พอถึงคราวที่จะต้องรีดนมวัว น้องชายก็บอกกับพี่ชายว่า พี่เอาส่วนหัวนะ ฉันจะเอาส่วนท้าย ส่วนหัวมันบีบนมไม่ได้ พี่ชายจึงตีหัววัวทำให้วัวดิ้นน้องชายก็รีดนมวัวไม่ได้เช่นกัน ตีทำไม น้องชายพูด ก็มันเป็นสิทธิของฉัน พี่ชายพูด ฝ่ายน้องชายจึงคิดได้ถึงคำสั่งเสียของพ่อก่อนตายที่ให้เขาทั้งสองมีความรักความสามัคคีกัน เพราะถ้าเขาสองคนไม่รักและสามัคคีกันเขาทั้งสองก็จะไม่สามารถทำอะไรได้เลย
        1.5 ความสัตย์ซื่อ
         นายจ้างกับลูกจ้างอยู่คู่หนึ่ง เมื่อถึงคราวที่เจ้านายจะต้องกลับไปยังบ้านเกิดก็ได้เรียกลูกจ้างให้เข้ามาหาเพื่อจะสั่งงาน ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ข้าจะให้เงินเจ้าก้อนหนึ่ง เจ้าอยู่ก็ช่วยสร้างบ้านหลังหนึ่งสร้างให้หลังใหญ่ ๆ และดี ๆ เลยนะ แล้วนายก็จากไป ด้วยความขี้เกียจและขี้โกงของลูกจ้าง เขาจึงสร้างบ้านหลังหนึ่ง หลังใหญ่อย่างที่นายสั่ง แต่ก็สร้างแบบลวก ๆ ไม่การตกแต่งใช้อุปกรณ์ที่ราคาถูก ๆ และไม่นานนายของเขาก็กลับมา ถามถึงเรื่องบ้าน เจ้าสร้างบ้านเสร็จหรือยัง เสร็จแล้วจ๊ะนาย เจ้าอยู่กับเรามาก็ตั้งหลายปี เราก็คงไม่มีอะไรจะให้เจ้าหรอกนะ เราก็จะให้บ้านหลังนี้กับเจ้าถือว่าเป็นค่าแรงที่เจ้าอยู่กับเรามาก็แล้วกัน เมื่อผู้เป็นลูกจ้างได้ยินดังนั้นก็ตกใจ และนึกเสียดายมากที่ตนสร้างบ้านหลังนั้นแบบลวก ถ้ารู้ว่านายจะยกให้แต่แรกคงสร้างให้ดีกว่านี้
         1.6 จ๊อเกอะโดะ
         มีชายขี้เกียจคนหนึ่ง ไม่ยอมทำงานทำการอะไร ให้เมียคอยหาเลี้ยงคนเดียว อยู่กินกันมาจนได้หนึ่งปี เจ้าคนขี้เกียจก็เกิดความคิดขึ้นว่า เอ เราน่าจะช่วยเมียทำงานบ้างนะ คิดได้ดังนั้นก็บอกกับเมียว่า วันนี้ข้าจะไปทำงานที่ไร่เองนะ ห่อข้าวให้ข้าด้วยก็แล้วกันเมื่อผู้เป็นเมียได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งแปลกใจและดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบห่อข้าวให้ แต่เมื่อเมียของเขาห่อข้าวเสร็จ เขาก็เกิดความขี้เกียจขึ้นมากระทันหันเลยบอกกับเมียว่าวันนี้ขี้เกียจแล้วล่ะเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปก็แล้วกันนะแล้วก็ล้มตัวลงนอนตามเดิม เมียก็ไม่รู้จะว่ายังไง ก็เลยต้องรีบไปไร่เองอีกตามเคย
         เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าคนขี้เกียจก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่า ยังไงวันนี้ก็ต้องไปไร่ให้ได้ บอกเมียให้ห่อข้าวให้อีก แล้วเจ้าขี้เกียจก็ออกไปไร่เมื่อไปถึงไร่ เอาห่อข้าวห้อยไว้แล้วก็เกิดขี้เกียจก็เลยนอน จนเที่ยงแล้วแต่ก็ขี้เกียจลุกขึ้นมากินข้าว สักพักก็มีมิ้มตัวหนึ่งบินวนมาดูดน้ำจากกระบอกของเขา เจ้าขี้เกียจก็กลัวว่ามิ้มจะกินน้ำของเขาหมด ขี้เกียจไปตักน้ำใหม่จึงคว้ามีดมาฟันฉับโดนเขี้ยวมิ้มหลุดออกมามิ้มก็ตาย แล้วก็นอนต่อไป พอตื่นมาตอนบ่าย ก็เห็นเขี้ยวมิ้มใหญ่ขึ้น ก็ลองจับมาสวมฟันตัวเองดูปรากฏว่าสวมได้พอดี แต่พอสวมฟันมิ้มเข้าไปก็รู้สึกว่าอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ กระโดดลงจากกระท่อม ถางหญ้าในไร่จนเสร็จก่อนค่ำวันนั้นเอง แล้วก็กลับบ้านถอดเขี้ยวมิ้มออก แล้วก็นอนเหมือนเคย เย็นนั้น เมียก็ชวนว่าพรุ่งนี้เราไปไร่ด้วยกันนะจะได้ถางหญ้าให้เสร็จเร็วๆฝ่ายคนขี้เกียจก็บอกว่า ถางเสร็จแล้วไม่ต้องไปแล้วฝ่ายเมียก็ไม่เชื่อ เพราะหญ้านั้นเหลือเยอะ ทำคนเดียวต้องทำถึงสิบวันถึงจะเสร็จ นี่ผัวนางขี้เกียจอย่างนี้ไปไร่แค่วันเดียวจะทำเสร็จได้อย่างไร
         เช้าวันรุ่งขึ้น เมียก็เลยไปไร่คนเดียว พอไปถึงก็ปรากฏว่า ผัวถางหญ้าเสร็จแล้วจริง ๆ เมียก็ดีใจมาก แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเป็นไปได้ยังไง พอวันรุ่งขึ้นคนขี้เกียจก็บอกเมียว่าจะไปวันนี้จะไปหาของกินแล้วก็ออกเดินทางไป ถึงเมือง ๆ หนึ่ง ถามหาหมูตัวใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ ชาวบ้านก็บอกว่าหมูตัวที่ใหญ่ที่สุดก็มีแต่หมูเจ้าเมืองเท่านั้นแหละคนขี้เกียจก็ขอดูหมูท่านเจ้าเมือง พอไปถึงก็บอกว่าหนูตัวนี้มันเล็กไปเรากินไม่อิ่มหรอก เมื่อเจ้าเมืองไก้ยินก็ไม่พอใจจึงพูดออกไปด้วยความโมโหและรำคาญว่าถ้าเจ้ากินหมูตัวนี้หมดในมื้อเดียวเราจะยกเมืองให้เจ้าครึ่งหนึ่งคนขี้เกียจก็ฆ่าหมูทำอาหารกิน จนหมูหมดทั้งตัว กินเสร็จก็บอกเฮ้อ... ยังไม่อิ่มดีเลยเจ้าเมืองก็ตกใจ แต่ก็ต้องจำยกเมืองให้ครึ่งหนึ่งตามสัญญา ซึ่งรวมทั้งลูกน้องบริวารแล้วก็เดินทางต่อไปอีกเมืองหนึ่งและถามหาควายที่ตัวใหญ่ที่สุดในเมืองนั้น ชาวบ้านก็บอกว่าควายที่ตัวใหญ่ที่สุดก็มีแต่ควายของเจ้าเมืองเท่านั้นแหละคนขี้เกียจก็ขอดูควายท่านเจ้าเมืองและพูดว่าควายตัวนี้เล็กไปกินไม่เราอิ่มหรอก ท่านเจ้าเมืองได้ยินก็พูดออกไปด้วยความโมโหและรำคาญว่า ถ้าเจ้ากินควายตัวนี้หมดในมื้อเดียว ข้าจะยกเมืองให้เจ้าครึ่งหนึ่ง รวมทั้งลูกน้องบริวารคนขี้เกียจก็ฆ่าควายและทำกินจนควายหมดทั้งตัว กินเสร็จก็บอก เฮ้อ... ยังไม่อิ่มเท่าไหร่เลย เจ้าเมืองก็ตกใจ แต่ต้องจำยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่งพร้อมบริวาร แล้วคนขี้เกียจก็ออกเดินทางไปอีกเมืองหนึ่ง ถามหาที่ดินที่กว้างที่สุด ชาวบ้านก็บอกว่ามีแต่ที่ดินของเจ้าเมืองเท่านั้นแหละที่กว้างที่สุด คนขี้เกียจก็ไปบ้านเจ้าเมือง บอกว่าเจ้าเมืองมีที่ดินเท่านี้เองเหรอเราขี้ใส่ยังไม่พอเลยเจ้าเมืองได้ยินก็โมโห จึงพูดออกไปว่า ถ้าเจ้าขี้ได้เต็มที่ดินของเราเราจะยกเมืองให้เจ้าครึ่งหนึ่งเลย คนขี้เกียจก็ขี้ออกมาจนเต็มที่ของเจ้าเมือง แล้วก็พูดว่า เฮ้อขี้ยังไม่สุดเท่าดีเลย เจ้าเมืองก็แปลกใจมากแต่ก็ต้องยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่งตามสัญญาแล้วในที่สุดคนขี้เกียจก็ได้ครองเมืองสามเมืองเมืองละครึ่ง พาลูกพาเมียมาอยู่ด้วยและมีบริวารมากมาย
         1.7 จ๊อเกอะโดะ 2
         จ๊อเกอะโดะเป็นคนขี้เกียจมาก มีหน้าที่เลี้ยงควายตัวหนึ่ง แต่เขาก็มีความฉลาดหลักแหลมเพราะความขี้เกียจนี่เอง เขามีวิธีเลี้ยงควายที่ไม่เหมือนใคร ใช้เชือกเส้นยาว ๆ มัดควายไว้ตัวเองนอนจับปลายเชือกข้างหนึ่ง ปล่อยให้ควายหากิน ตกเย็นก็ดึงเชือกกลับมา
         วันหนึ่งเจ้าเมืองก็เกิดหมั่นไส้ ที่จ๊อเกอะโดะเลี้ยงควายสบายนัก จึงสั่งให้ลูกน้องไปจับควายของเขามาแล่เนื้อแบ่งกัน เมื่อจ๊อเกอะโดะดึงเชือกกลับก็เหลือแต่เชือกจึงออกตามหาและพบพวกลูกน้องของเจ้าเมือง พวกเขาเอาเนื้อไปหมดแล้ว เขาเลยพูดว่า พวกเจ้าขโมยฆ่าควายเราไม่เป็นไรเราเอาแต่หนังมันก็แล้วกันแล้วก็เผาหนังควายแบกกลับบ้านไป วันต่อมาก็หอบหนังควายทำทีว่าจะเอาไปขาย เมื่อไปถึงริมน้ำแห่งหนึ่งก็ปีนขึ้นต้นไม้ รอสักพักก็มีโจรกลุ่มหนึ่งจะมาแบ่งทรัพย์สินที่ปล้นมาได้หนึ่งกะบุง จ๊อเกอะโดะก็โยนหนังควายลงมาพวกโจรก็วิ่งหนีกันหมดโดยไม่ทันดูเพราะคิดว่าเป็นหมี จ๊อเกอะโดะ จึงแบกกระบุงกลับบ้านข่าวเรื่องจ๊อเกอะโดะ ขายหนังควายได้เงินกระบุงหนึ่งก็ได้ไปถึงหูเจ้าเมือง เจ้าเมืองก็คิดว่าควายตัวเดียวขายได้เงินตั้งหนึ่งกระบุงเรามีควายเป็นร้อยตัวต้องได้ร้อยกระบุงแน่ จึงสั่งให้ลูกน้องฆ่าควายร้อยตัวแล้วเอาหนังไปขาย แต่ขายอย่างไรก็ขายไม่ได้ จึงไปต่อว่า จ๊อเกอะโดะว่าหลอกและสั่งลูกน้องให้ไปเผาบ้านของ จ๊อเกอะโดะ เมื่อบ้านถูกเผาแล้วเขาก็กวาดขี้เถ้าบ้านของตนได้สามกระบุง เจ้าเมืองก็ถาม เจ้าจะเอาขี้เถ้าไปทำไมเขาบอกว่า จะเอาขี้เถ้าบ้านที่ถูกเผาไปขายเจ้าเมืองกับลูกน้องก็พากันหัวเราะเพราะยังไงขี้เถ้าก็ขายไม่ได้วันรุ่งขึ้น จ๊อเกอะโดะก็เอาเงินใส่ไว้ตรงส่วนบนของขี้เถ้า ทำให้ดูเหมือนว่ามีเงินสามกระบุง แล้วก็ขนไปที่ริมน้ำ เรียกเรือลำหนึ่ง จ้างข้ามแม่น้ำ แล้วก็บอกเจ้าของเรือว่า ต้องระวังให้ดีนะ อย่าให้เรือจมน้ำเชียว ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องชดใช้ให้เราเจ้าของเรือก็รับปากและพายเรือไป เมื่อถึงกลางแม่น้ำนั่นเองน้ำเชี่ยวแรงเรือโคลงเคลงแทบจะพลิกคว่ำ น้ำเข้าเรือกมากมายในที่สุดขี้เถ้าก็ละลายน้ำหมดเหลือแต่เงินติดก้นกระบุง จ๊อเกอะโดะก็แกล้งโวยวายนี่เจ้าทำเงินเราหล่นลงน้ำหมด เจ้าต้องชดใช้ตามสัญญา เจ้าของเรือจึงจำเป็นต้องชดใช้ให้ตามสัญญา โดยใส่เงินให้เต็มสามกระบุงแล้วจ๊อเกอะโดะก็กลับมาสร้างบ้านใหม่
         ครั้งเมื่อเจ้าเมืองมาเห็นเข้า ก็แปลกใจที่จ๊อเกอะโดะขายขี้เถ้าได้เงินสามกระบุง ท่านเจ้าเมืองก็คิดบ้านหลังเล็กนิดเดียวยังขายได้เงินสามกระบุง บ้านเราหลังใหญ่ขนาดนี้คงขายได้มากมายจึงให้ลูกน้องเผาบ้านตนเอง แล้วเอาขี้เถ้าไปขาย ขายอยู่หลายวันแต่ก็ขายไม่ได้ เจ้าเมืองก็โกรธ จ๊อเกอะโดะมาก สั่งให้ลูกน้องจับจ๊อเกอะโดะใส่เข่ง ห้อยไว้ข้างทางแล้วกลับบ้านไปคิดว่าเดี๋ยวค่อยมาฆ่าฝ่ายจ๊อเกอะโดะคิดว่าคราวนี้คงตายแน่แล้ว ทันไดนั้นเองก็มีคนขี่ช้างผ่านมาจ๊อเกอะก็ร้อง คนขี่ช้างก็ถามว่าเจ้าเป็นอะไรก็ท่านเจ้าเมืองจะให้เราแต่งงานกับลูกสาวเราไม่อยากแต่ง อีกเดียวก็คงมารับเราแล้วคนขี้ช้างก็แอบยิ้มในใจ แล้วบอกว่างั้นเปลี่ยนกันมั้ย เจ้าขี่ช้างไป ส่วนเราจะไปเป็นเขยเจ้าเมืองเอง ฝ่ายจ๊อเกอะโดะขี่ช้างขนเงินหนีไป ฝ่ายเจ้าเมืองกลับมาก็ยิงไปที่เข่งนั้นทำให้คนที่อยู่ในเข่งซึ่งคิดว่าเป็นจ๊อเกอะโดะตายแล้วเอาไปฝังทั้งเข่งเลย
         เวลาผ่านไปหลายปีจ๊อเกอะโดะซึ่งไปอยู่ที่อื่นจนมีลูกมีเมีย ก็พาลูกเมียตนกลับมาอยู่ที่บ้านเก่าเรื่องการกลับมาของจ๊อเกอะโดะรู้ถึงหูท่านเจ้าเมือง เจ้าเมืองก็แปลกใจว่าเป็นไปได้อย่างไรก็มันตายไปแล้วนี่ จึงไปถามเพื่อให้รู้แจ้ง จ๊อเกอะโดะก็บอกว่าเราไปอยู่เมืองผี ผู้เฒ่าที่เมืองผีดูแลเราอย่างดีและให้เราขี่ช้างกลับมาเจ้าเมืองได้ยินก็คิดว่าถ้าตนไปเมืองผีก็ต้องได้ช้างกลับมาเป็นแน่ จึงบอกลูกเมีย แล้วให้จ๊อเกอะโดะฆ่าตน จ๊อเกอะโดะก็ฆ่าเจ้าเมืองแล้วเอาศพไปเผา หลายวันผ่านไปเมียของเจ้าเมืองก็มาถามว่าป่านนี้เจ้าเมืองไปถึงไหนแล้วป่านนี้คงไปถึงเมืองเหม็นแล้วมั้งหลายวันต่อมาก็มาถามอีก ป่านนี้ถึงไหนแล้วถึงเมืองกระดูกขาวแล้วมั้งเมียเจ้าเมืองก็กลับไปนานวันก็ยิ่งร้อนใจเจ้าเมืองยังไม่กลับมา ก็ไปถามอีก จ๊อเกอะโดะก็หัวเราะอย่างสะใจ ก็คนมันตายไปแล้วจะให้กลับมาได้อย่างไรเมียของเจ้าเมืองก็แค้นมากที่จ๊อเกอะโดะหลอกฆ่าสามีตน เมียเจ้าเมืองจึงต้มเหล้ายาพิษให้จ๊อเกอะโดะกิน เมื่อจ๊อเกอะโดะรู้ตัวว่าไม่รอดแน่แล้ว กลับบ้านให้เมียหาปลามาใส่กะละมังแล้วเอาเท้าลงไปแช่แล้วทำให้ดูเหมือนเท้าของเขานั้นกระดิกอยู่ให้ลูกเมียนั่งล้อมวงกันปรบมือร้องเพลง และเมื่อเมียของเจ้าเมืองมาแอบดูว่าจ๊อเกอะโดะตายหรือยังก็เห็นภาพที่จ๊อเกอะโดะสร้างขึ้นก็คิดว่าจ๊อเกอะโดะยังไม่ตายเลยโกรธกลับบ้านไปบอกลูกลองกินเหล้ายาพิษที่ต้มให้จ๊อเกะโดะกินแล้วทั้งหมดก็ตาย
         1.8 เด็กกำพร้า
         กาลครั้งหนึ่งมีหมู่บ้านหนึ่งทำไร่ได้ข้าวไม่พอกินกันในแต่ละปี ทุกครอบครัวต้องหาของป่าเพื่อนำไปแลกข้าวที่หมู่บ้านอื่น มีเด็กกำพร้าอยู่คนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่คนเดียวเมื่อชาวบ้านออกไปหาของป่าเด็กกำพร้าก็ขอไปด้วย แต่พวกชาวบ้านก็ไม่ยอมให้เด็กกำพร้าไปพอพวกชาวบ้านเดินทางไปได้พักหนึ่งก็ได้พบแม่เฒ่าคนหนึ่งกำลังติดอยู่ในกอหวาย“ หลายเอ๊ย ” แม่เฒ่าร้องเรียก ช่วยเอายายออกไปจากกอหวายทียายออกไปไม่ได้ พวกชาวบ้านกำลังรีบเดินทาง และพลางคิดว่าเราไม่มีเวลาพอที่จะต้องมาเสียเวลาช่วยใคร จึงพากันออกเดินทางต่อ เมื่อเด็กกำพร้าเดินทางมาถึง แม่เฒ่าก็ร้องเรียกอีก “ หลายเอ๊ย ช่วยเอายายออกไปที ยายออกไปไม่ได้ ” เมื่อเด็กกำพร้าเห็นเข้าก็รีบไปช่วยแม่เฒ่า “ รอเดี๋ยวนะจ๊ะยาย ” เด็กกำพร้ามีเพียงมีดผุๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น เขาจึงต้องใช้ความพยายามมากในการช่วยแม่เฒ่าออกมาจากกอหวาย และในที่สุดเขาก็ช่วยแม่เฒ่าออกมาจากกอหวายได้“ หลานจะไปไหนเหรอจ๊ะ ” ยายถามเด็กกำพร้าก็เล่าให้ยายฟังถึงเรื่องที่หมู่บ้านกำลังประสบอยู่ และตนเองกำลังจะออกไปหาของกินในป่า“ ไม่ต้องไปหรอกจ๊ะเดี๋ยวยายจะช่วยเจ้าเองนะ ” แม่เฒ่ากล่าว แล้วแม่เฒ่าก็ให้เด็กกำพร้าพากลับบ้าน พอไปถึงบ้านแม่เฒ่าก็หุงข้าวให้เด็กกำพร้ากิน เด็กกำพร้าก็แปลกใจว่าบ้านเขาเห็นมีข้าวสารเลยแล้วทำไมแม่เฒ่าถึงหุงข้าวได้เด็กกำพร้าเกิดความสงสัยจึงซุ่มแอบดูยาย แล้วเขาก็เห็นข้าวสารไหลออกมาจากเล็บของยาย เขาจึงรู้ว่ายายไม่ใช่คนธรรมดา
         ต่อมาเมื่อถึงฤดูทำไร่ แม่เฒ่าก็ได้ให้พันธุ์ข้าวกับเด็กกำพร้าคนนั้น แล้วเด็กกำพร้าก็นำพันธุ์ข้าวไปปลูกจนเต็มไร่ เด็กกำพร้าก็เฝ้าดูแลอย่างดี จวบจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว เด็กกำพร้าเกี่ยวข้าวอย่างไรก็เกี่ยวไม่หมด กว่าจะเกี่ยวเสร็จก็ใช้เวลาไปหลายวัน เมื่อถึงเวลาตีข้าว เด็กกำพร้าก็ใช้เวลาในการตีอยู่หลายวัน ยามแบกข้าวกลับบ้านก็แบกอยู่หลายวัน พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แม่เฒ่าก็บอกกับเด็กกำพร้าว่า “ หลานเอ๊ย ให้เจ้าเอาข้าวเอาไก่ไปเลี้ยงที่ไร่ด้วยนะ ” 
         เด็กกำพร้าก็ทำตาม ขณะที่เด็กกำพร้าเลี้ยงไก่อยู่นั้น แม่เฒ่าก็กินข้าวกับไก่ของเด็กกำพร้านั้นจนหมด จากนั้นแม่เฒ่าก็กลายร่างเป็นนกฟ้า แล้วบินขึ้นสวรรค์ไป เมื่อเด็กกำพร้าเห็นเช่นนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าของเขา หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปเด็กกำพร้าก็ขยันทำงานและได้ข้าวมากในทุกๆปี และทุกครั้งหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ เด็กกำพร้าก็จะทำพิธีส่งนกขึ้นสวรรค์ตลอดมาตราบจนทุกวันนี้ชาวปกากะญอเชื้อสายเด็กกำพร้าก็ทำพิธีเลี้ยงส่งนกขึ้นสวรรค์ทุกปีมิได้ขาด
         1.9 น่อสะจู (นางผู้อดทน)
         มีเจ้าเมือง เมืองหนึ่งมีภรรยาที่แสนดีและน่ารัก ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ลูกของทั้งสองนั้นได้ถูกฝรั่งขอไปเลี้ยงทั้ง 2 คน เพื่อให้ไปร่ำเรียน เจ้าเมืองและภรรยาจึงต้องอยู่กันเพียง 2 คน วันหนึ่งเจ้าเมืองก็คิดอยากจะลองใจภรรยาของตนเอง จึงออกอุบายขับไล่นางออกจากเมืองและให้ไปสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่นอกเมือง นางจึงต้องไปใช้ชีวิตอย่างลำบากอยู่ในป่า แต่นางก็ไม่ได้คิดท้อแท้หรือน้อยใจ และไม่ได้คิดโกรธเคืองเจ้าเมืองเลยแม้แต่น้อย และต่อมาไม่นานลูกทั้งสองของนางก็กลับมา และเจ้าเมืองก็ออกมาประกาศว่าจะแต่งงานใหม่ แต่จะต้องให้นางสะจูมาทำอาหารในงานแต่งงานของท่านเท่านั้น เพราะไม่มีใครทำอาหารได้อร่อยเท่านาง เรื่องที่เจ้าเมืองจะแต่งงานใหม่และจะให้นางน่อสะจูมาทำอาหารให้นั้น ได้ถึงหูของนางน่อสะจู นางจึงเดินทางเข้าเมืองมาเพื่อที่จะทำอาหารในงานแต่งงานของท่านเจ้าเมือง นางก็ได้ตั้งใจทำอาหารอย่างเต็มที่และเต็มใจเจ้าเมืองจึงรู้สึกสงสารและเห็นว่านางนั้นดีจริงจึงประกาศความจริงให้นางรู้ และบอกกับนางว่าลูกทั้งสองกลับมาแล้ว จากนั้นเจ้าเมืองและครอบครัวจึงอยู่กันอย่างมีความสุข

ความเป็นอยู่ของคนปกากะญอ[แก้ไข]

         ลักษณะการวางผังหมู่บ้านกระเหรี่ยงน้ำตก ตัวเรือนขนานไปกับถนนสายหลักทางเข้าหมู่บ้าน ชาวกระเหรี่ยงปลูกบ้านไว้ตามเชิงเขา ดังนั้นถนนที่เข้าหมู่บ้านอยู่ตีนเขา ส่วนตัวเรือนจะอยู่ถัดเข้าไป และมีถนนซอยสร้างไว้เพื่อเป็นทางเข้าบ้านที่อยู่เป็นกลุ่มๆ 2-4 หลัง รูปแบบเรือนกระเหรี่ยง เป็นเรือนหลังคาจั่วความชันต่ำ มุงด้วยหญ้าแฝก มีช่องระบายอากาศทางด้านจั่ว ด้านหน้ามีชานและมีหลังคาคลุม ผังเรือนแยกพื้นที่ใช้สอย มีชานหน้าเรือน ยกใต้ถุนสูงถ้าหากมองจากบริเวณตีนเขา แต่ถ้ามองจากลานดินด้านหน้าเรือนจะเหมือนกับเรือนสร้างติดพื้นดิน บริเวณใต้ถุนเรือนใช้เก็บฝืนและเลี้ยงสัตว์ ผนังเรือนเป็นไม้ไผ่สาน ด้านหน้าเรือนเปิดโล่งเพื่อการระบายอากาศ มีชานทางเดินรอบตัวเรือน ใช้สำหรับเป็นพื้นที่ตากผ้า พื้นเรือนเป็นไม้แผ่นปูเว้นร่อง ภายในเรือนมีการจัดเตาไฟไว้บริเวณกลางห้องส่วนด้านหน้าจัดไว้เป็นส่วนเก็บอาหารแห้ง และเก็บของใช้ ห้องส้วมสร้างแยกต่างหากจากตัวบ้านหลังคาทรงหมาแหงน อย่างไรก็ตามพบว่าเรือนกระเหรี่ยงส่วนใหญ่ยังมีการวางผังในลักษณะเดิม แต่ปรับเปลี่ยนวัสดุและระบบโครงสร้างเป็นสมัยใหม่

อาหารพื้นถิ่นของชาวปกากะญอ[แก้ไข]

อาหารเป็นส่วนหนึ่งของทุกชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ อาหารกะเหรี่ยงจะมีเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง คือรสชาติจะเผ็ดและจัดจ้าน สามารถแบ่งออกได้ดังนี้

       1. แกงข้าวคั่ว “ต่า เค่อ”
         เครื่องปรุง → 1. เนื้อไก่ หรือ เนื้อหมู  2. ข้าวคั่ว  3. ใบชะพลู/ชะอม
         เครื่องแกง → 1. กระเทียม  2. ตะไคร้  3. ข่า  4. ขมิ้น  5. พริกแห้งหรือพริกสด  6. เกลือ  *โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด
         วิธีทำ
             1. นำเครื่องแกงมาคั่วให้เข้ากัน
             2. นำเนื้อไก่หรือเนื้อหมูใส่ลงไป
             3. เมื่อคั่วเข้าที่แล้วเทน้ำลงไปรอจนเดือด
             4. ใส่ข้าวคั่วลงไปแล้วรอจนสุก
7 แกงข้าวคั่ว.jpg

ภาพที่ 7 แกงข้าวคั่ว “ต่า เค่อ”

       2. น้ำพริกปลา “นะ ป๊ะ โต้ เคอะหน่อ คะรี่”
         เครื่องปรุง → 1.ปลาปิ้งหรือย่าง  2.พริกแห้งหรือพริกสด  3.กระเทียม หัวหอม  4.มะเขือเทศ  5.ผักชี
         วิธีทำ
             1. นำพริกแห้ง กระเทียม หัวหอม มะเขือเทศเผาให้สุก โขลกให้ละเอียด
             2. ตำปลาที่สุกแล้วผสมลงไป
             3. นำไปผัดน้ำมัน/ใส่ผักชีโรยหน้า
8 น้ำพริกปลา.jpg

ภาพที่ 8 น้ำพริกปลา “นะ ป๊ะ โต้ เคอะหน่อ คะรี่”

       3. แกงเย็นปลา “ญ่า โพ จื่อ ที”
         เครื่องปรุง 
             1. ปลาขาวจากแหล่งน้ำธรรมชาติ		
             2. เกลือป่น				
             3. ตะไคร้หั่นเป็นท่อน			
             4. หอมแดงซอยเป็นชิ้น			
             5. ข่าซอยเป็นชิ้น				
             6. พริกแห้งโลนไฟ
             7. บะเกอะเออ (ผักกาดขมซอยตากแห้ง)
             8. ลูกมะกอก
             9. ใบผักชี
             10. น้ำเปล่า
         วิธีทำ
             1. นำปลามาย่างให้สุก
             2. นำเครื่องปรุงที่เตรียมไว้คลุกให้เข้ากัน
             3. ใส่เนื้อปลาลงไป
             4. เติมน้ำเปล่าลงไป
             5. นำใบผักชี ที่ซอยมาโรยหน้า
9 แกงเย็นปลา.jpg

ภาพที่ 9 แกงเย็นปลา “ญ่า โพ จื่อ ที”

       4. แกงเบือ "ต่า คอ พ้อ"
         เครื่องปรุง → 1. ข้าวสาร  2. หน่อไม้  3. หางไหว  4. เนื้อไก่หรือเนื้อหมู
         เครื่องแกง
             1. กระเทียม		
             2. ตะไคร้		
             3. ข่า			
             4. ขมิ้น
             5. กะปิ
             6. เกลือ
         *โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด
         วิธีทำ
             1. เอาน้ำใส่ลงไปในหม้อที่ตั้งไว้เทลงไปพอประมาณ
             2. นำข้าวสารใส่ลงไปในหม้อแกง
             3. ในระหว่างที่ต้มน้ำกับข้าวสาร ตั้งกระทะอีกที่หนึ่งเทน้ำมันลงไปนำเครื่องแกงที่โขลกคั่ว กับเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ที่เตรียมไว้
             4. พอข้าวที่ต้มเริ่มเดือดนำเนื้อหมูที่คั่ว กับเครื่องแกงใส่ลงไปแล้วรอจนสุก
10 แกงเบือ.jpg

ภาพที่ 10 แกงเบือ "ต่า คอ พ้อ"

       5. แกงไก่ใส่หัวปุก "ต้าซู พอชอเต่ลอคื่อ"
         เครื่องปรุง → 1. หัวปุกที่สับเป็นก้อน ๆ  2. เนื้อไก่สับเป็นชิ้น
         เครื่องแกง 
             1. ตะไคร้		
             2. กระเทียม		
             3. หอมแดง		
             4. ขมิ้น
             5. พริกขี้หนูแห้ง
             6. กะปิ
             7. เกลือ
         *ปริมาณแล้วแต่ผู้ทำจะกะเอาเอง โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด
         วิธีทำ
             1. ตั้งหม้อแกงเทน้ำมันลงนิดหน่อย
             2. คั่วเครื่องแกงกับเนื้อไก่
             3. พอได้ที่เทน้ำลงไปพอปริมาณ
             4. รอให้นํ้าเดือดใส่หัวปุกลงไปตั้งไฟให้ร้อนรอจนหัวปุกเปื่อยเป็นใช้ได้
11 แกงไก่ใส่หัวปุก.jpg

ภาพที่ 11 แกงไก่ใส่หัวปุก "ต้าซู พอชอเต่ลอคื่อ"

       6. แกงหางไหวใส่หมู "เง่ข่าดื่อ เดอเทาะย่า"
         เครื่องปรุง → 1. หางไหว  2. เนื้อหมู
         เครื่องแกง
             1. ตะไคร้ตัดเป็นท่อน ๆ		
             2. น้ำมันพืช			
             3. พริกขี้หนู			
             4. กะปิ
             5. เกลือ
             6. ข่าที่ซอยเป็นชิ้น
             7. ผักชี
         *นำเครื่องแกงทั้งหมดโขลกให้ละเอียด
         วิธีทำ
            1. ซอยเนื้อหมูให้เป็นชิ้น ๆ
            2. ตั้งหม้อแกงเทน้ำมันลงนิดหน่อย
            3. คั่วเครื่องแกงกับเนื้อหมู
            4. พอได้ที่เทน้ำลงไปแล้วตามด้วยหางไหว
            5. ตั้งไฟให้ร้อนรอจนสุกแล้วโรยหน้าด้วยผักชี
12 แกงหางไหวใส่หมู.jpg

ภาพที่ 12 แกงหางไหวใส่หมู "เง่ข่าดื่อ เดอเทาะย่า"

ประเพณีของชาวปกาเกอะญอ[แก้ไข]

ศาสนา ความเชื่อ และพิธีกรรม[แก้ไข]

         เดิมชาวกะเหรี่ยงนับถือผีมีการบวงสรวงและเซ่นสังเวยอย่างเคร่งครัด ภายหลังหันมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์มากขึ้น แต่ก็ยังคงความเชื่อเดิมอยู่ไม่น้อย เช่น ความเชื่อเรื่องขวัญหรือการทำกิจกรรมต่างๆ จะต้องมีการเซ่น เจ้าที่เจ้าทาง และบอกกล่าวบรรพชน ให้อุดหนุนค้ำจูน ช่วยให้กิจการงานนั้นๆ เจริญก้าวหน้า ทำเกษตรกรรมได้ผลผลิตดี ให้อยู่เย็นเป็นสุข ปกป้องคุ้มครองดูแล และยังเป็นการขอขมาอีกด้วย

วัฒนธรรมและประเพณีของคนปกาเกอะญอ[แก้ไข]

         วัฒนธรรมและประเพณี
         ด้วยความเชื่อและนับถือในเรื่องผีวิญญาณ ชาวกะเหรี่ยงจึงมีประเพณี และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงผีอยู่เสมอ ผีที่ชาวกะเหรี่ยงนับถือมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ผีดี กับ ผีร้าย  ผีดีคือผีบ้าน ซึ่งมีหน้าที่ดูและรักษาหมู่บ้านหรือผีเจ้าที่นั่นเอง และผีเรือน คือผีบรรพบุรุษ เช่น ผีปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว วิญญาณยังวนเวียน คุ้มครองลูกหลานอยู่ ชาวกะเหรี่ยงจะมีพิธีเซ่นบวงสรวงบูชาผีเรือนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้ปลอดภัยจากการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือรอดพ้นจากภัยทั้งปวง  นอกจากการเลี้ยงผีบ้านผีเรือนแล้ว ชาวกะเหรี่ยงยังมีพิธีเลี้ยงผีไร่ ผีนา ผีป่า ผีดอยอีกด้วย ดังนั้นความเชื่อถือในเรื่องผีและวิญญาณของชาวกะเหรี่ยง จึงมีผลดีต่อสังคมชาวกะเหรี่ยงอย่างมาก และทำให้เกิดคุณธรรมขึ้น เพราะไม่มีใครกล้าทำความผิดแม้แต่ต่อหน้าและลับหลัง เช่น การลักขโมยหรือการผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แม้คนไม่เห็นแต่ผีเห็นเสมอเป็นต้น นอกจากการนับถือผีแล้ว ชาวกะเหรี่ยงยังนับถือศาสนาคริสต์ และพุทธศาสนาอีกด้วย ซึ่งก่อให้เกิดเป็นประเพณีและวัฒนธรรมในเผ่าขึ้นขึ้น เช่น ประเพณีปีใหม่ ประเพณีขึ้นบ้านใหม่ ประเพณีเกี้ยวสาว และแต่งงาน หรือแม้กระทั่งประเพณีงานศพ 
        1. ประเพณีปีใหม่
         ประเพณีปีใหม่ซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญที่สุดของชาวกะเหรี่ยง โดยถือกำเนิดเอาเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี แต่การจัดงานอาจจะไม่ตรงกันทุกปีก็ได้ แล้วแต่หัวหน้าหมู่บ้านหรือฮีโข่ จะแจ้งให้ทราบ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นระยะเวลาก่อนจะถึงฤดูกาลการเกษตร คือ หลังจากงานปีใหม่แล้วกะเหรี่ยงจะเริ่มทำงานในไร่ ในนาทันที โดยทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านจะหมักเหล้าเตรียมเอาไว้ เมื่อถึงวันกำหนดงาน หมอผีจะประกอบพิธีให้ โดยเริ่มจากบ้านของฮีโข่ หรือ หัวหน้าหมู่บ้านก่อนเป็นหลังแรก แล้วกระทำต่อไปจนครบทุกหลังคาเรือน ซึ่งกินเวลาถึง 3 วัน กว่าจะเสร็จ การทำพิธีกรรม เริ่มจากจัดเตรียมขนมหลายชนิด เช่น ข้าวเหนียวต้ม ข้าวปุ๊ก ข้าวหลาม เพื่อวันรุ่งขึ้นจะถวายแด่เทพเจ้า เตรียมเหล้า สำหรับประกอบพิธีและดื่มร่วมกัน ตกกลางคืนของก่อนวันขึ้นปีใหม่ ผู้นำศาสนาที่ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า "ฮี่โข่" จะทำการเรียกเหล่าชาวบ้านมาชุมนุม ในแต่ละบ้านจะส่งตัวแทนบ้านละหนึ่งคน คือ หัวหน้าครอบครัว (ต้องเป็นผู้ชาย) ตอนไปชุมนุมจะต้องเตรียมเหล้า บ้านละหนึ่งขวดไปยังบ้านของผู้นำศาสนา (ฮี่โข่) ด้วย เมื่อมาพร้อมกันทั้งคน และเหล้าแล้ว ฮี่โข่จะเริ่มทำพิธีกรรมพิธีกรรมนี้ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า พิธีกินหัวเหล้า (เอาะซิโค) โดยตอนแรกจะนำขวดเหล้ามารวมกัน โดยฮี่โข่จะทำการอธิษฐาน จากนั้นจะรินเหล้าลงในแก้ว แล้วให้คนที่มาร่วมพิธีดื่ม วิธีการดื่มคือ เอาขวดแรกของคนที่มาถึงก่อน ฮีโข่จะเอามาเทลงแก้ว แล้วฮี่โข่จะจิบเป็นคนแรก จากนั้นก็ให้คนต่อไปจิบต่อ จิบเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนครบทุกคนที่มาร่วมงาน แล้ววนกลับมาถึงคิวฮี่โข่ ฮี่โข่จะทำการเททิ้งพร้อมอธิษฐานให้พร แด่เจ้าบ้านและครอบครัวของเจ้าของเหล้าขวดที่ได้เทไปแล้ว จะทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนครบทุกขวดของทุกบ้านที่มาร่วมงาน บางครั้งบางทีหมู่บ้านไหนที่มีหลังคาเรือนเยอะอาจทำถึงเช้้าเลยก็ว่าได้
         เช้าวันขึ้นปีใหม่ ชาวกะเหรี่ยงจะตื่นแต่เช้าแล้วมาฆ่าหมู ฆ่าไก่ เพื่อจะนำมาประกอบพิธีในวันรุ่งเช้า โดยเริ่มจากการนำไก่ที่ฆ่าแล้ว พร้อมเหล้าหนึ่งขวดมาตั้งที่ขันโตก เพื่อจะประกอบพิธีมัดข้อมือ หรือเรียกขวัญของลูกหลานในแต่ละบ้าน โดยผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัวจะเป็นผู้ประกอบพิธีนี้ เวลานี้สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะอยู่กันครบหน้า 
ภาพที่ 4 พิธีปีใหม่.jpg

ภาพที่ 13 พิธีปีใหม่ชาวกะเหรี่ยง

         2. ประเพณีแต่งงาน
         ผู้หญิงจะเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง เจ้าสาวจะต้องทอเสื้อผ้า กางเกง ย่ามไว้ให้เจ้าบ่าว ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องฆ่าหมูฆ่าไก่เพื่อทำพิธีกรรมบอกต่อผีบรรพบุรุษและเป็นอาหารเลี้ยงแขก แต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง 1 ฤดูเก็บเกี่ยว ก่อนแยกไปปลูกบ้านใกล้กัน  เรื่องราวของการสู่ขอ (เอาะ เฆ) ของกะเหรี่ยง มีลักษณะดังนี้เมื่อเป็นที่รับรู้แล้วว่าหญิงชายรักชอบพอกัน พ่อแม่และญาติพี่น้องของฝ่ายหญิงก็จะส่งคนไปหาฝ่ายชาย เพื่อสอบถามให้แน่ใจว่าฝ่ายชายรัก และยินดีที่จะแต่งงานกับฝ่ายหญิงจริงหรือไม่ หากฝ่ายชายรักชอบพอกัน และยินยอมที่จะแต่งงานกับฝ่ายหญิง ก็จะมีการนัดหมายวันเวลาทำพิธีแต่งงานกันในเวลานั้น (ตามหลักประเพณีกะเหรี่ยงฝ่ายหญิงจะต้องเป็นฝ่ายไปขอฝ่ายชาย)เมื่อฝ่ายชายตกลงปลงใจว่าจะแต่งงานกับฝ่ายหญิงและนัดหมายวันเวลาแต่งงานที่แน่นอนแล้วฝ่ายชายก็ส่งเถ้าแก่ไปทำพิธีหมั่นหมาย (เตอะ โหล่) ฝ่ายหญิงก่อนวันแต่งงานในพิธีฝ่ายหญิงจะฆ่าไก่ 2 ตัว ในการู่ทำอาหารเพื่อเลี้ยงรับรองเถ้าแก่ของฝ่ายชายและวันรุ่งขึ้นก็จะนัดหมายวันเวลาที่ฝ่ายชายและเพื่อนๆ จะมาหาฝ่ายหญิงเพื่อทำพิธีแต่งงานต่อไป
ภาพที่ 5 ประเพณีแต่งงาน.jpg

ภาพที่ 14 ประเพณีแต่งงานปกากะญอ

        เครื่องดนตรี
         “เตหน่า” เป็นเครื่องดนตรีของชนเผ่ากะะเหรี่ยง ทำด้วยไม้อ่อนเหลาและกลึงให้เป็นรูปเหมือนกล่องรูปทรงรี มีก้านยาวโก่งและโค้งสูงขึ้นไป ที่ตัวจะเจาะรูเป็นโพรงปิดด้วยโลหะบางๆ สายทำด้วยเส้นลวดมีสายตั้งแต่ 6 – 9 สาย เตหน่าใช้สำหรับดีดและร้องเพลงประกอบ ใช้ในโอกาสมีเวลาว่างและเพื่อความสนุกสนาน โดยเฉพาะหนุ่มๆ ชาวปกาเกอะญอจะใช้เตหน่าในการเกี้ยวพาราสีหญิงสาวในยามค่ำคืน 
15 คุณลงซะนุยได้แสดงการเล่นดนตรีให้ฟัง.jpg

ภาพที่ 15 คุณลงซะนุยได้แสดงการเล่นดนตรีให้ฟัง

16 เครื่องดนตรี.jpg

ภาพที่ 16 เครื่องดนตรี “เตหน่า” จากศูนย์วัฒนธรรมกระเหรี่ยง

ข้อมูลสำรวจ[แก้ไข]

         - บ้านกะเหรี่ยงน้ำตกคลองลาน หมู่ที่ 18 ตำบลคลองลานพัฒนา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร
         - นายพะซะนุย  คามภูผา  ผู้นำชนเผ่า เป็นผู้ให้ความรู้เรื่องชาวปกาเกอะญอ
15 คุณลงซะนุยได้แสดงการเล่นดนตรีให้ฟัง.jpg

ภาพที่ 17 นายพะซะนุย คามภูผา

วันเดือนปีที่สำรวจ[แก้ไข]

         วันที่ 20 มกราคม 2561 

วันปรับปรุงข้อมูล[แก้ไข]

         วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 
         วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2561

ผู้สำรวจข้อมูล[แก้ไข]

         1. อาจารย์ชญาน์นันท์ ศิริกิจเสถียร
         2. นางสาวพิมพ์ประกา  สว่างศรี
         3. นางสาวอภิญญา  ตาคำ
         4. นางสาวนิสา  ศิริคำ
         5. นางสาวทิพย์สุดา  ก๋าต๊ะ

คำสำคัญ (tag)[แก้ไข]

         - กลุ่มชาติพันธุ์
         - กะเหรี่ยง
         - ปะกาเกอะญอ
         - หมู่บ้านกะเหรี่ยงน้ำตกคลองลาน