ฐานข้อมูล เรื่อง ลาวคั่ง อ.ทรายทองวัฒนา จ.กำแพงเพชร

จาก KPPStudies
ไบยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

ข้อมูลทั่วไป[แก้ไข]

ชื่อชาติพันธุ์[แก้ไข]

         ลาวคั่ง

ชื่อเรียกตนเอง[แก้ไข]

         ในอำเภอทรายทองวัฒนา จะเรียกตนเองว่า “ลาวคั่ง” จะไม่เรียกตนเองว่า “ลาวขี้ครั่ง” 

ที่ตั้ง[แก้ไข]

         อำเภอทรายทองวัฒนา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้
             ทิศเหนือ     	  ติดต่อกับ  อำเภอไทรงาม
             ทิศตะวันออก   ติดต่อกับ  อำเภอบึงสามัคคี
             ทิศใต้            ติดต่อกับ  อำเภอบึงสามัคคี และ อำเภอคลองขลุง
             ทิศตะวันตก     ติดต่อกับ  อำเภอคลองขลุง

ชื่อที่ผู้อื่นเรียก[แก้ไข]

         ลาวคั่ง

ภาษาที่ใช้พูด[แก้ไข]

         ภาษาลาวครั่ง เป็นภาษาที่จัดอยู่ในตระกูลไท – กะได คล้ายคลึงกับภาษาลาวในแถบภาคเหนือและภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เช่น แขวงหลวงพระบาง แขวงไชยะบุรี รวมทั้งภาษาพูดที่พูดในจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดเลย ซึ่งอยู่ใกล้กับแขวงดังกล่าว นอกจากนี้ยังคล้ายคลึงกับภาษานครไทย ภาษาที่พูดกันเป็นส่วนใหญ่ในอำเภอนครไทยจังหวัดพิษณุโลก “พยัญชนะ ในภาษาลาวครั่งมี 20 หน่วยเสียง ได้แก่ (ก) (ข) (ค ฆ) (ง) (จ) (ซ ส) (ด) (ต) (ท ธ ฒ) (น) (บ) (ป) (พ ผ) (ม) (ฟ) (ญ ย) (ว) (ล) (ห ฮ) (อ) ทั้งหมดเป็นหน่วยเสียงพยัญชนะต้นได้ แต่เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายได้ 9 หน่วยเสียง ได้แก่ (-ก) (-ง) (-ป) (-ด) (-น) (-ม) (-ย) (-ว) และ (-อ) หน่วยเสียงพยัญชนะควบกล้ำมักจะไม่ปรากฏทั่วไปในภาษาลาวครั่ง เช่น พริก เรียก พิก ปลา เรียก ปา และ ช ใช้ ซ เช่น ช้าง เป็น ซ้าง สระในภาษาลาวครั่ง มี 18 หน่วยเสียง ได้แก่ (อิ) (อี) (เอะ) (เอ) (แอะ) (แอ) (อึ) (อื) (เออะ) (เออ) (อะ) (อา) (อุ) (อู) (โอะ) (โอ) (เอาะ) (ออ) และสระประสม มี 6 หน่วยเสียง ได้แก่ (เอียะ) (เอีย) (เอือะ) (เอือ)(อัวะ) (อัว) แต่เดิมในภาษาลาวครั่ง ไม่มีเสียงสระเอือ เช่น เกลือ ออกเสียง เกีย เสือ ออกเสียง เสีย วรรณยุกต์มี 5 หน่วยเสียง แต่อาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละท้องถิ่น ลักษณะเด่นของภาษาลาวครั่งที่แตกต่างจากภาษาลาวกลุ่มอื่น ๆ นอกจากลักษณะทางเสียงแล้ว เรื่องคำลงท้าย ก็เป็นเอกลักษณ์ทางภาษาของกลุ่ม”แม้จะออกเสียงและสำเนียงเพี้ยน ๆ ไป แต่รู้สึกมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาเป็นลูกหลานลาวครั่งที่มีแต่มรดกทางวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ที่ต้องช่วยกันสืบสานอนุรักษ์ไว้ให้ยั่งยืนต่อไป 
         “ภาษาเขียนเป็นภาษาไทย ก็จะมีคนแก่ก็จะออกเป็นภาษาขอม แต่หาดูยากไม่มีแล้ว ส่วนมาก  ที่เราเน้นก็คือ ภาษาไทย เพราะเราเรียนมา ครูไม่ได้สอนวิชาอื่นเลย ก็สอน ก-ฮ แล้ว ก็เลยไม่ได้ใช้ภาษาขอม แต่วิธีนับก็จะคล้าย ๆ กัน แต่จะมีการออกเสียงที่ต่างกัน เช่น เสือ เป็น เสีย เป็นต้น บางทีมันออกมาไม่ตรงกัน ถ้าเป็นภาษาเขียนก็จะเขียนยาก เวลาครูสอนเขาจะเน้นให้เป็นลาวห้าง บางที่สอนให้ออกเลียงด้วยใช้ลิ้น ทำให้เด็กปัจจุบันพูดภาษาไทยแล้วส่วนมาก แล้วแต่ว่าบางคนก็สอนลูกให้พูดลาวไว้ก่อน เพราะลาวพูดยาก ส่วนไทยพูดตอนไหนก็ได้ พ่อแม่บางคนคุยกับลูกเวลากินข้าว “กินข้าวเด้อล่าเอ๋ย” พูดกับลูกบ่อย พ่อแม่ “แซบบ่”  ลูกตอบ “แซบ” เด็กก็จะจดจำ คนเพชรบูรณ์ ต.ปากช่อง คนที่ขายหวยส่วนมากเป็นลาวครั่ง แต่จะเหน่อต่างกัน มีหล่มเก่า ผมไปกีฬาแห่งชาติ เขาบอกว่า อาจารย์ภาคลาวเด้อ มีผมภาคอยู่คนเดียว ไปเลยเขาก็ให้ผีโขนก็ไปภาคเป็นภาษาลาวครั่ง เขาก็หัวเราะกัน มีอาจารย์ยอร์ช คนเดียวที่สื่อภาษาลาวได้ แล้วผมเคยไปตัดสินที่ลาวเวลาทำสนามผมเป็นคนสื่อสารกับลาว เพราะไปแข่งที่หลวงพระบาง อาจารย์ยอร์ชสื่อสารเลย “เฮ็ดอย่างงี้เด้อ  เดี๋ยวยกเก้าอี้มาวางนี้ กางเต็นท์ดึงสาย” บางคนเขาพูดไทยก็จะฟังยาก เราก็อาศัยว่าเราก็คุยเป็นภาษาลาวแต่ก็ยังฟังง่ายกว่าภาษาอีสานเพราะภาษาอีสานฟังยาก” 

ประวัติความเป็นมา[แก้ไข]

         จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่าบรรพบุรุษอพยพมาจากอาณาจักรเวียงจันทร์ และหลวงพระบาง  พร้อมกับเหตุผลที่ทางการเมืองและเป็นเชลยศึกยามสงคราม อาศัยอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย ได้กล่าวว่าลาวคั่งเป็นชื่อของภาษาและกลุ่มผู้มีเชื้อสายลาวกลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย เช่น ในจังหวัดนครปฐม จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดกำแพงเพชร ฯลฯ ลาวคั่งมักจะเรียกตนเองว่า “ลาวขี้ครั่ง” หรือ “ลาวคั่ง”
         ความหมายของคำว่า “ลาวคั่ง” ยังไม่ทราบความหมายที่แน่ชัด บางท่านสันนิษฐานว่ามาจาก คำว่า “ภูฆัง” ซึ่งเป็นชื่อของภูเขาที่ลักษณะคล้ายระฆัง อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของหลวงพระบาง ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อันเป็นถิ่นฐานเดิมของลาวคั่ง  ถูกกวาดต้อนเข้ามาในประเทศไทยในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ปีพุทธศักราช 2321 และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในปีพุทธศักราช 2334 ไม่ปีใดก็ปีหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะไทยยกทัพไปตีเมืองหลวงพระบางและกวาดต้อนครอบครัวของชาวลาวมาในช่วงนั้นเนื่องจากแพ้สงคราม
         ลักษณะทั่วไปของลาวคั่ง คือมีรูปร่างค่อนข้างไปทางสูงหรือสันทัด ทั้งหญิงและชายผิวค่อนข้างเหลือง ตาสองชั้น ใบหน้าไม่เหลี่ยมมาก  จมูกมีสัน  ผมเหยียดตรง ชอบนุ่งผ้าสิ้นคลุมเข่า นุ่งซิ่นมัดหมี่ดอก ลาวคั่ง    มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในการทอผ้าเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน และใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะ
ภาพที่ 1 ลักษณะรูปร่างหน้าตาบุรุษ.jpg

ภาพที่ 1 ลักษณะรูปร่างหน้าตาบุรุษและสตรีเชื้อสายลาวคั่ง

         “อำเภอทรายทองวัฒนา เป็นอำเภอหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากชมรมลาวคั่ง ตำบลหนองเหมือด อำเภอขาณุวรลักษบุรี และจังหวัดชัยนาท กระผม ครูยอร์ช  มีสุข ซึ่งเป็นอาจารย์ ได้มีโอกาสไปร่วมงานลาวคั่งมาจังหวัด สังเกตว่าชมรมลาวคั่งมีทั่วประเทศประมาณ 4 ล้านกว่าคนตามข้อมูลที่บอกมา  เป็นลาวคั่งแท้ ๆ เลย แต่ว่าลาวคั่งของอำเภอทรายทองวัฒนาเป็นลาวคั่งที่อยู่มาตั้งแต่เกิดตั้งแต่ผมเกิดมา ตั้งแต่ พ.ศ.2500 จำความได้ว่าลาวคั่งเยอะที่สุด แต่ตอนนี้ได้แยกย้ายออกไปส่วนใหญ่ ที่เข้ามาอยู่ใหม่ก็จะเป็นคนจีน 
         ลาวคั่งนั้นเป็นคนสงบนิ่งแล้วก็ทำมาหากิน ได้แยกย้ายไปอยู่ตามป่า ชมรมลาวคั่งของเรานั้น ก็ได้ถือว่าอพยพมาจากจังหวัดเลย จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื่องจากเราย้ายมาจากเวียงจันทร์ หลวงพระบาง โดยการเดิน การนั่งเกวียน การนั่งม้า ขี่วัว ขี่ควาย ที่อพยพนี่ไม่ใช่ว่าเราตั้งใจมา เพราะว่ามีศึกสงครามสมัยกรุงธนบุรี ที่มาเรานี่เป็นเชลยศึกอยู่ในสมัยกรุงธนบุรี สมัยนั้นสงครามมันเยอะก็ถูกต้อนมา ก็เลยอพยพมาจากเพชรบูรณ์หรือจังหวัดเลยก็มาอยู่แถวนี้ก็นาน ก็มีหลายอำเภอที่ล่วงเลยมา เช่น วังทอง ไทรงามนี่ก็ลาว บางที่ทางนี้อพยพมาจากนครสวรรค์บ้างก็มี เพิ่งย้ายมาทีหลังก็มาสมทบกันระหว่างภาคกลางกับภาคเหนือ ย้ายทุกทิศทุกทางเพราะว่ากำแพงเพชรเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ฟ้าอากาศก็อยู่เย็นเป็นสุขเพราะว่าลมพัดก็บ่เท่าใดน้ำท่วมก็บ่เท่าใด เป็นภาคเหนือตอนล่างแล้วก็ภาคกลางตอนบน ก็ถือว่าลาวคั่งของอำเภอทรายทองนี่อพยพมาจากหลายจังหวัด” 

ข้อมูลประชากรศาสตร์[แก้ไข]

         ตำบลทุ่งทราย อำเภอทรายทองวัฒนา แบ่งเขตการปกครอง เป็น 20 หมู่บ้าน ประกอบด้วยหมู่ 0 บ้านเกาะติ้ว  หมู่ 0 บ้านหาดทรายมูน  หมู่ 0 บ้านเกาะแก้ว  หมู่ 1 บ้านทุ่งทราย  หมู่ 2 บ้านหนองนกชุม  หมู่ 3 บ้านวังน้ำแดง , บ้านคลองต้นไทร  หมู่ 4 บ้านสามจบ  หมู่ 5 บ้านทุ่งตากแดด  หมู่ 6 บ้านศรีอุดมธัญญะ, บ้านน้อย  หมู่ 7 บ้านหนองไผ่  หมู่ 8 บ้านหนองไผ่เหนือ  หมู่ 9 บ้านไทรย้อย  หมู่ 10 บ้านทุ่งทรายกลาง  หมู่ 11 บ้านทุ่งทรายออก  หมู่ 13 บ้านหนองนกชุมใต้  หมู่ 14 บ้านวังน้ำแดงใต้  หมู่ 15 บ้านทุ่งทรายเหนือ  หมู่ 16 บ้านร่มเย็น  หมู่ 17 บ้านวังน้ำแดงเหนือ 
         “ลาวคั่งในอำเภอทรายทองวัฒนา มีลาวคั่งประมาณ 65% ลาวครั่งอยู่กันกระจัดกระจายกันไป ส่วนใหญ่อยู่ในตำบลทุ่งทราย ที่จะมีก็มีบ้านหนองไผ่ บ้านศรีอุดมธัญญะ บ้านน้อย บ้านทุ่งตากแดด” 

ข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์[แก้ไข]

2 การแบ่งเขตการปกครองอำเภอทรายทองวัฒนา.jpg

ภาพที่ 2 การแบ่งเขตการปกครองอำเภอทรายทองวัฒนา

วิถีชีวิต[แก้ไข]

อาชีพ[แก้ไข]

         อาชีพหลัก ได้แก่ ทำนา ทำไร่ ทำสวน
         อาชีพเสริม ได้แก่ เป่าแก้ว, การทำสารสกัดจากสมุนไพร, ทำผ้าฝ้าย, ทำเครื่องเบญจรงค์, ทำกล้วยอบเนย, ทำกระยาสารท, ทำผลิตภัณฑ์ศิลปะประดิษฐ์จากแป้ง, ทำข้าวซ้อมมือ
3 วิถีชีวิตการทำนาของลาวคั่ง.jpg

ภาพที่ 3 วิถีชีวิตการทำนาของลาวคั่ง ตำบลทุ่งทราย อำเภอทรายทองวัฒนา

ครอบครัว[แก้ไข]

         ชาวลาวครั่งจะมีความสามัคคีกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของเครือญาติหรือเพื่อนบ้าน เช่น ลงแขกเกี่ยวข้าว ทำไร่ หรือแม้แต่งานบุญ งานศพ งานรื่นเริงต่าง ๆ ชาวบ้านก็จะมาช่วยงานกันเป็นจำนวนมากตั้งแต่เริ่มเสร็จเรียบร้อย

การแต่งกาย[แก้ไข]

         การแต่งกายของคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง จะมีแบบฉบับเป็นของตนเองซึ่งนำวัสดุธรรมชาติ ในท้องถิ่นคือ ฝ้ายและไหม ที่เป็นวัสดุการทอ เทคนิคที่มีทั้งการจกและมัดหมี่ ผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของชาวลาวคั่งคือ ผ้าซิ่นมัดหมี่ ต่อตีนจก ซึ่งมีลายผ้าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น และ ผ้าขาวม้า 5 สี มีลวดลายหลากหลาย และสีที่ใช้เป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ เช่นสี เหลืองนำมาจากหัวขมิ้น สีดำนำมาจากมะเกลือ + เทา (ตะไคร่น้ำ)   สีครามได้มาจากต้น ครามผสมกับปูนกินหมาก สีแดงได้มาจากครั่ง นอกจากจะทอไว้เพื่อใช้ในครัวเรือนแล้ว ยังทอเพื่อการจำหน่าย เป็นรายได้เสริมจากอาชีพหลัก
         “การแต่งกายก็อาจจะมีสีเทา สีขาว สีแดง สีน้ำเงิน ถ้าเป็นสีออกสีขาวก็จะเป็นไปในงานศพ สีแดงงานรื่นเริง สีเทาวันสำคัญ แต่ลาวคั่งเราจะเน้นสีแดง ผ้าถุงนี่ตีนจกแล้วก็สไบ เครื่องประดับบางคนก็ใช้ทองแท้ ๆ ทำบางคนก็หาซื้อตามตลาดนัดไว้เป็นประดับ ดอกจำปา ดอกจำปี ประจำของลาวคั่งเป็นดอกประจำของเรา” 
ภาพที่ 2 การแต่งกายสตรี.jpg

ภาพที่ 4 การแต่งกายสตรีและบุรุษสูงศักดิ์ชาวลาวคั่ง

ภาพที่ 3 การแต่งกายสตรี.jpg

ภาพที่ 5 การแต่งกายสตรีชาวลาวคั่งในงานประเพณี

ภาพที่ 4 ครูยอร์ช มีสุข.jpg

ภาพที่ 4 ครูยอร์ช มีสุข สวมเสื้อสีแดง แต่งกายลาวคั่งร่วมงานวันชาติลาว 2 ธันวาคม 2555

ที่อยู่อาศัย/ความเป็นอยู่[แก้ไข]

         “วิถีชีวิตที่เป็นอยู่เหลักฐานมันมองไม่เห็นเพราะว่าตอนนี้มีคนซื้อของเก่าไปประดับบ้าน เช่น เกวียน แอกควายไถ่นา ซื้อไปประดับ แต่ที่หนองเหมือดเขาเตรียมไว้เลยเขาให้ชาวบ้านเอาของเก่า ๆ ไปไว้วัดของเราก็มีแต่ว่าหลวงพ่อเข้าไม่ได้เก็บ บางคนเอาไปโชว์แล้วก็หายไปเลยอย่างวิลัยครูเคยเอาไปโชว์แล้วกลับมาไม่เหมือนเดิม เพราะว่ามันมีค่าไนแง่ความหาดูยาก แล้วก็หนังควายที่มันเกาะสำหรับไถ่ คันไถ่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มี บ้านช่องก็เหมือนกับงานที่ผ่านมา กระท่อมนั้นแหะครับก็จะมีลักษณะนั้น ก็จะมีนอกชาน มีที่ทำอาหาร ข้างล่างแต่ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป การแต่งตัวส่วนใหญ่แต่งไปโชว์งานก็จะเป็นสีแดง ผู้ชายจริง ๆ ต้องใส่กางเกงขาก๊วย พอมาเป็นยุคทันสมัยก็จะใส่กางเกงสแล็ค ใส่สโร่ง แต่ว่าชัยนาทใส่โจงเบน ชุดพวกนี้ก็จะใส่ช่วงที่มีงานหรือช่วงสำคัญถ้าปกติก็จะใส่ทำนาก็เสื้อม่อฮ้อม
         ลาวคั่งส่วนใหญ่ผู้ชายจะทำงานหนัก ตื่นตี 04.30 น. พอตื่นก็ต้องล้างควายและนำควายไปไถ่นา ผู้หญิงก็ทำกับข้าวพอสัก 07.30 น. ก็ต้องเอาข้าวไปส่ง เสร็จแล้วก็ไปช่วยแฟนทำนา พักกินข้าว นอนพักสักพักให้วัวควายได้พักพอหายเหนื่อยแล้วค่อยไปทำต่อ 
         สมัยก่อนมันไม่มีรถเกี่ยวเราก็จะใช้ควายย่ำเป็นแถว สองแถว แล้วเอาขอดึงฟางขึ้นมาแล้วมันพลิกเราก็เอาควายย่ำอีก เสร็จตรงไหนที่มันไม่หมดเราก็ใช้ไม้ฟาดแล้วกองข้าวขึ้นไป เค้าเรียกแม่โพธิ์สุขโพธิ์ศรี คนลาวเขานับถือ แม่ธรณี นางไม้ ก่อนจะเอาไปขายก็ต้องทำพิธี นับถือมากที่สุดห้ามเดินข้ามข้าว กินก็ต้องกินให้หมด เราจะบอกลูกหลานเลยว่าเราอพยพมาได้บารมีของในหลวงของเราตั้งแต่ราชวงศ์จักรีมาเราก็ไม่ได้กลับบ้านเลย” 

ประเพณี[แก้ไข]

พิธีกรรมและความเชื่อ[แก้ไข]

         พิธีกรรมและความเชื่อชาวลาวคั่ง มีความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก การนับถือผีของชาวลาวคั่งเป็นการถือผีตามบรรพบุรุษคือผีเจ้านายและผีเทวดา  การนับถือมีอิทธิพลต่อชาวลาวคั่งมาก แม้แต่ในแง่ของการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการประกอบพิธีกรรมหรือการดำรงชีวิตประจำวันก็จะต้องไปข้องเกี่ยวกับผีของบรรพบุรุษเนื่องจากอาชีพหลักของชาวลาวครั่ง คือการทำนา จึงมีประเพณีความเชื่อ ที่ถือปฏิบัติกันมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ คือ พิธีบูชาเซ่นสรวงแม่ธรณี และแม่โพสพ ก่อนหว่านข้าวเป็นการบอกกล่าวแม่ธรณี โดยจัดวางเครื่องเซ่นไว้บนพื้นดินบริเวณหัวคันนาและกล่าวแก่แม่ธรณีว่า จะทำนาแล้วขอให้คนและควายอยู่ดีมีสุขสบาย คราดไถอย่าให้หักบ่ได้มาแย่งดินขอเพียงแค่ทำกิน พิธีนี้ภาษาถิ่นเรียกว่า พิธี แฮกนา พิธีที่เกี่ยวกับความเชื่ออีกวิธีหนึ่งคือ พิธีศพ เมื่อนำศพผู้ตายใส่ลงหีบ ถ้าเป็นชายก็จะใช้ผ้าขาวม้าของผู้ตายคลุมทับผ้าขาวบนฝาหีบ ถ้าเป็นหญิงก็จะคลุมหีบด้วยสไบของผู้ตาย และจะเผาเครื่องนุ่งห่มต่าง ๆ ของผู้ตาย เช่น ผ้าขาวม้าไหม โสร่งไหมผ้าพุ่งไหม ผ้าม่วงโรง หรือผ้าซิ่นมัดหมี่ ผ้าสไบ เสื้อฯลฯ เผาไปด้วย  นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งแยก ระหว่างโลกของวิญญาณ และ โลกของมนุษย์ และ วิญญาณที่ดีสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้โดยผ่านคนทรง
ภาพที่ 5 การเข้าทรงนางกวัก.jpg

ภาพที่ 5 การเข้าทรงนางกวัก ของลาวคั่ง

         “เรื่องไสยศาสตร์ก็ยังมีอยู่ เช่น เรื่องสักยัน เรื่องประวัติความเป็นมาของผีโพงผีเป่า ถ้าใครไปเจอมากำลังกินอาหารอยู่ถ้ามันอยากให้เราเป็นต่อมันถุยน้ำลายใส่เราปั๊ปเราเป็นเลย ผีโพผีเป่าเป็นไง คือเรานอนแล้วจิตวิญญาณเราออกจากร่าง จะสังเกตเรากลับมาปั๊ปจะเห็นรอยเท้าเราเอง เราไม่รู้สึกตัวนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้วเพราะกลัวคนเห็น ถ้ามีคนเห็นก็จะถุยน้ำลายใส่เรา นั้นเราคือทายาทเขาละ และนี่ก็เป็นประวัติที่ปู่ย่าตายายเล่าก็กันมา”

ศาสนา[แก้ไข]

         “ความเชื่อทางศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ขัดกันไม่ได้ ลาวคั่งก็นับถือศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ นับถือไปด้วยกัน ผมเกิดมาก็เห็นเค้าทำปน ๆ กัน ไม่ใช่พุทธจริงทุก ๆ ประเพณี อย่างประเพณีขึ้นบ้านใหม่ก็จะเหมือน ๆ กันแต่พราหมณ์จะน้อยกว่าพุทธ การทำบุญกับพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้วเข้าชื่อกันว่าพ่อแม่ยังอยู่และเรื่องผีด้วย เรื่องไสยศาสตร์ ลุงจันทร์ทรนี่จะทำบายศรีสู่ขวัญ บายศรีนาคเป็นภาษาลาวคั่ง  เค้าแหล่เป็นภาษาลาวคั่ง เวลามีพิธีก็จะเอาลุงจันทร์ทรมานี่แหละ อีกด้านความเชื่อด้านเลี้ยงผีก็ยังมีผีปลวก ผีเจ้าที่ สู่ขวัญข้าวเขาก็เอาข้าวขึ้นมาตั้งเป็นกอง มีไก่ เหล้า อย่างการทำของก็ยังมีบางเป็นบางครอบครัว” 

ประเพณีอื่น ๆ[แก้ไข]

         ประเพณียกธง เป็นวัฒนธรรม ประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ที่ยังยึดถือและสืบต่อปฏิบัติกันมาโดยจัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี สำหรับประเพณียกธงนั้น เป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีและร่วมมือร่วมใจของประชาชนในท้องถิ่น
         ประเพณีสารทลาว เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วันสารทลาว คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ชาวลาวคั่งจะรวมกลุ่มกัน ทำกระยาสารท และ ขนมเพื่อใช้ในการทำบุญตักบาตรในตอนเช้าปัจจุบันก็ยังมีการสืบทอดประเพณีกันอยู่ แต่กระยาสารทในปัจจุบันส่วนมากนิยมซื้อแทนการทำ มีบางบ้านยังทำอยู่
         ประเพณีการบวชพระ ก่อนจะบวชเป็นพระ นาคจะต้องไปนอนอยู่วัดอย่างน้อย 3 คืน เพื่อท่องหนังสือเมื่อถึงวันงานญาติ ๆ จะนำม้าที่ทำขึ้นไปรับนาคที่วัดเพื่อมาทำพิธีอาบน้ำนาค หลังจากอาบน้ำนาคเสร็จก็จะนำนาคแห่รอบหมู่บ้านแล้วนำนาคมาทำพิธีสู่ขวัญ (ทำขวัญนาค) โดยหมอทำขวัญหรือพระก็ได้ตกเย็นก็จะมีการจัดเลี้ยง พอรุ่งเช้าก็จะนำนาคไปแห่รอบอุโบสถ 3 รอบจากนั้นก็จะเป็นพิธีของสงฆ์ หลังจากเสร็จพิธีสงฆ์แล้วก็จะนำพระกลับบ้านเพื่อทำพิธีฉลองและสงฆ์น้ำพระ เป็นอันเสร็จพิธีการบวช

ศิลปะการแสดง[แก้ไข]

         อัตลักษณ์ศิลปะการแสดงหรือการละเล่นต่างๆของชนชาติติพันธ์ลาวคั่ง มีเอกลักษณ์โดดเด่น เป็นของตนเองและมีจุดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นมนต์ขังในพิธีกรรมนั้น ๆ การเดินแสดงเรื่องการละเล่นต่าง ๆสมัยก่อนอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วอย่าไปพิสูจน์เลยเพราะ มันเป็น กุศโลบาย ของคนสมัยโบราณที่ให้ลูกหลานมารวมตัวไม่ลืมกันให้รักพี่รักน้องและสอนให้รักสามัคคีกัน
ภาพที่ 6 การแสดง นางด้ง.jpg

ภาพที่ 8 การแสดง “นางด้ง”

         “ศิลปะการแสดงก็จะมีการเต้นบาสโลป เซิ้ง รำแคน รำไทยประยุกต์ ก็เหมือนรำวงมาตรฐาน เราก็มีรำวงย้อนยุกต์ ถ้าบาสโลปที่เวียงจันทร์ ถ้าเปิดเพลงเขาเต้นได้ทุกท่าทาง คนที่ย้ายมาอยู่บ้านเรา ถ้าเปิดเพลงบาสโลปเต้นกันหมด เหมือนเราร้องเพลงชาติเราเค้าจะเต้นสลับแล้วแต่ละเพลงเขาจะมีสเต็ปจะไม่เหมือนกัน ถ้าลีลาศก็ดูธรรมดา เหมือนเต้นหมุนตัว แต่เราเข้าไม่ถึงเพราะเราถอดจากเทปมาเอามาเต้นกัน ถ้าจะให้ลึก ๆจะต้องคนที่มาสอน ส่วนคนถ่ายทอดเราก็มีคือ คนลาวเวียงจันทร์ ที่มาอยู่บ้านเรา เขาก็พอเต้นเป็นแต่ไม่ 100% 
         ลาวคั่งเขาเป่าแคนดีจนลาวอีสานยอม เพราะลายเต้นของลาวคั่งที่เขากระดิกนิ้ว ใช้เพลงอีสาน เพลงของลาวคั่งก็มีอยู่นะ แต่ว่ามันไม่ดัง ทางลาดยาวเคยส่งคนมาพี่น้องเอ๋ยมาลาวคั่งของเฮา มีการแต่งเพลงประวัติความเป็นมา เขาก็จะร้อง “ตั้งแต่มาจากเหนือมากำแพง.....นั่งเกวียนมา.....” เป็นต้น เป็นภาษาลาวคั่งแต่ร้องยากจะไม่สังเกตว่าจะมีรำหรือไม่มีมีแต่พูด “นับเป็นบุญเหลียล้นซุกคนได้เกิดฮ่วม  เกิดมาโฮมม่องนี้ แผ่นดินถิ่นสยาม  ให้ฮักษาเอาไว้ แผ่นดินไทยม่องเฮาอยู่  ไผ๋ซิตู่ยาดแยง ให้แพงไว้ปานหน่วยตา” เขาจะพูด คำพะหย่าแข่งกัน สมมติว่าขึ้นเวที พูดโต้ตอบกันไปมาเหมือนโต้วาที หนุ่มสาวจีบกันพะหย่าไปมา แต่เพลงยากแต่ว่าแหล่มี แล้วก็ทำขวัญนาคมี ถ้าทำออกมาเป็นเพลงมันยาก” (ครูยอร์ช มีสุข, สัมภาษณ์, 6 พฤษภาคม 2561)
9 การแสดงเป่าแคน ลาวคั่งบ้านกุดจอก.jpg

ภาพที่ 9 การแสดงเป่าแคน ลาวคั่งบ้านกุดจอก ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท

ข้อมูลอื่น ๆ[แก้ไข]

สถานการณ์ปัจจุบันของชาติพันธุ์[แก้ไข]

         “ลาวคั่งในอำเภอทรายทองวัฒนา ก่อตั้งเป็นชมรม โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ระดับที่ 1 คือ ลาวแท้ ๆ ระดับที่ 2 คือ วิสามัญที่ว่าเมียที่พูดลาวแต่ผัวเป็นไทย และระดับที่ 3 คือ สมทบ ก็คือที่ปรึกษาหรือ ผู้ที่มีงบประมาณสนับสนุน อาทิเช่น หลวงพ่อ(เจ้าอาวาสวัดแก้วศรีวิไล) สท. นายกเทศบาล ลาวคั่งที่จดเป็นรูปแบบอยู่ในชมรมปัจจุบันมีประมาณ 400 กว่าคน และมีโครงการจะรวบรวมสมาชิกให้ได้ 1,000 คน โดยจะลดอายุ ผู้ที่จะสมัครเข้าชมรมลาวคั่ง ลงมาสักอายุ 15 ปี” 

ข้อมูลอื่น ๆ[แก้ไข]

         -  

ข้อมูลการสำรวจ[แก้ไข]

วันเดือนปีที่สำรวจ[แก้ไข]

         วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2561

วันปรับปรุงข้อมูล[แก้ไข]

         -

ผู้สำรวจข้อมูล[แก้ไข]

         นางสาวสุวลัย   อินทรรัตน์
         นางสาวอภิญญา  แซ่ยั้ง
         นางสาวจีรวรรณ  ผึ่งบางแก้ว

คำสำคัญ (tag)[แก้ไข]

         ลาวคั่ง, ชมรมลาวคั่ง, ทุ่งทราย, ทรายทองวัฒนา