ฐานข้อมูล เรื่อง ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร

จาก KPPStudies
ไบยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

ข้อมูลทั่วไป[แก้ไข]

         ศาลหลักเมืองจังหวัดกำแพงเพชร เป็นศาลที่เก่าแก่มานานกว่า 700 ปี สันนิษฐานว่าสร้างสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) เชื่อกันว่าพระเจ้าวรมันต์ (เหม่) ผู้เรืองอำนาจเป็นผู้ก่อสร้างขึ้น ทำด้วยศิลาแลงรูปกลมยาวประมาณ 2 เมตร ฝังโผล่พ้นดินขึ้นมาประมาณ 1 เมตร มีรูปเศียรเทพารักษ์อยู่บนยอดศิลาแลง(สำนักงานจังหวัดกำแพงเพชร, ม.ป.ป.) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังคาศาลได้พังลงมาทับเสาหลักเมืองและเศียรเทพารักษ์ หลังจากนั้นก็อยู่ในสภาพรกร้างมาเป็นเวลานานจนถึงปี พ.ศ. 2472 รองอำมาตย์เอกหลวงมนตรีราช (หวาน) อัยการจังหวัดกําแพงเพชรได้ริเริ่มสร้างศาลหลักเมืองขึ้นใหม่โดยเป็นศาลาทรงไทย การบูรณะ"ศาลหลักเมือง" มีเหตุการณ์ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2488 ได้มีผู้ลักตัดเศียรเทพารักษ์ไป หลวงปริวรรตวรวิจิตร (จันทร์ เจริญชัย) ผู้ว่าราชการจังหวัดกําแพงเพชรได้ให้ทำขึ้นใหม่ด้วยดินจากยอดเขาสูงสุดของเขาหลวง ดินใจกลางโบสถ์ใจกลางเจดีย์เก่าทั้งในจังหวัดกําแพงเพชร สุโขทัย ศรีสัชนาลัย พิษณุโลก และตาก(สำนักงานเทศบาลเมืองกำแพงเพชร, 2555)
         ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกำแพงเพชร คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดกำแพงเพชร ที่ชาวจังหวัดกำแพงเพชรให้ความนับถือ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวจังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดใกล้เคียงมาหลายชั่วอายุคน ผู้ใดที่ประสบปัญหาอุปสรรค์ในการดำเนินชีวิต ก็มักไปบนบานศาลกล่าว ขอให้เจ้าพ่อหลักเมืองช่วยเหลือคุ้มครอง ซึ่งก็มักจะได้สมใจดังปรารถนาจนเป็นที่เลื่องลือ เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ดังนั้น จึงมีผู้มาบนและขอแก้บนเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน จากความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ที่มีความเชื่อว่าการสร้างศาลหลักเมืองว่า ก่อนสร้างหลักเมืองได้ขุดหลุมกลางใจเมือง โดยทางการจะมีการป่าวประกาศหาคนชื่อ อิน จัน มั่น คง เมื่อได้บุคคลที่มีชื่อดังกล่าว จะนำบุคคลทั้งสี่คนมาไว้ที่ก้นหลุมและฝังเสาหลักเมืองลงทับร่างทั้งสี่ เพื่อให้เป็น ผีเฝ้าหลักเมืองเป็นเทพารักษ์ประจำเมือง เป็นปีศาลคุ้มครองเมือง เป็นประเพณีในการก่อสร้างเมืองทุกเมืองโดยตลอด นับว่าทั้งสี่ท่านคือ อิน จัน มั่น และคง เป็นผู้เสียสละชีวิต เพื่อมาพิทักษ์บ้านเมืองของเรา กลายมาเป็นเจ้าพ่อหลักเมืองในที่สุด เชื่อกันว่า เมืองกำแพงเพชรน่าจะสร้างพร้อมๆ กับเมืองสุโขทัยและมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง ทางทิศใต้ของสุโขทัย สังเกตได้จากแนวกำแพงสามชั้น ซึ่งเรียกว่าตรีบูรเหมือนสุโขทัยหรือร่วมสมัยกันกับสุโขทัย เจ้าพ่อหลักเมืองกำแพงเพชร สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย เดิมทำด้วยศิลาแลง รูปกลมยาวประมาณ 2 เมตรฝังโผล่ขึ้นดินมาประมาณหนึ่งเมตรเศษ มีรูปเศียรเทพารักษ์ อยู่บนยอดศิลาแลง เชื่อกันว่าคือเจ้าพ่อหลักเมือง ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองน่าจะร้าง เหมือนโบราณสถานทั่วไป พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นกำแพงเพชร ทรงบันทึกไว้ว่าออกจากวัด ไปที่หลักเมือง ซึ่งอยู่มุมท้ายวัดอยู่ระหว่างวัดกับวัง ทรงบันทึกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2449 ไว้เพียงเท่านี้(สำนักงานเทศบาลเมืองกำแพงเพชร, 2555)
         ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะสักการะขอพรเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่อาศัย ของหายอยากได้คืน รวมทั้งเสริมสิริมงคลในเรื่องความมั่นคงของชีวิต ด้วยเชื่อกันว่าศาลหลักเมืองกำแพงเพชรนั้นเป็นสิ่งที่พ้องกับความมั่นคงไม่หวั่นไหวเสริมจิตใจให้เข้มแข็ง(สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร, 2561)

ชื่อเรียก[แก้ไข]

         • ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร 
         • ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกำแพงเพชร
         • พระหลักเมืองกำแพงเพชร
         • เจ้าหมื่นขุนศรีวรจักร

ศาสนา[แก้ไข]

         • พราหมณ์
         • พุทธ

ที่ตั้ง[แก้ไข]

         ตั้งอยู่บริเวรวัดพระแก้วมรตกับพระราชวังเดิม(สระมน) ทางออกไปประตูสะพานโคม เส้นทางไปอำเภอพรานกระต่ายและจังหวัดสุโขทัย (องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร, ม.ป.ป.)
         ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข101 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร กำแพงเพชร 62000

ที่ตั้งพิกัดทางภูมิศาสตร์[แก้ไข]

         ละติจูด 16.4897694 ลองจิจูด 99.5160717

หน่วยงานที่ดูแลรักษา[แก้ไข]

         คณะกรรมการศาลเจ้าหลักเมืองกำแพงเพชร

สถานการณ์ขึ้นทะเบียน[แก้ไข]

         ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็นศาลเจ้าตามกฎเสนาบดีว่าด้วยที่กุศลสถานชนิดศาลเจ้าพ.ศ.2463 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2528 โดยมีนายกเทศมนตรีเมืองกำแพงเพชรเป็นผู้จัดการปกครองศาลเจ้าโดยตำแหน่งมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการทั่วไป และแต่งตั้งผู้ตรวจตราสอดส่องศาลเจ้า ให้มีอำนาจหน้าที่ตรวจตรากิจการอันเกี่ยวกับศาลเจ้าทุกประการ(สันติ อภัยราช, 2544, หน้า 93)

วัน/เดือน/ปีก่อสร้าง[แก้ไข]

         สันนิษฐานว่าสร้างสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) เมื่อประมาณ 700 ปีก่อน

ข้อมูลจำเพาะ[แก้ไข]

ประวัติความเป็นมา[แก้ไข]

         ความเป็นมาของศาลหลักเมือง
         ประเพณีไทยแต่โบราณมา เมื่อจะมีการสร้างเมืองใหม่ขึ้น  ณ ที่ใดก็ตาม สิ่งที่จะต้องทำเป็นประการแรกก็คือ หาฤกษ์ยามอันดีสำหรับฝังเสาหลักเมือง หลังจากนั้นจึงจะดำเนินการสร้างบ้านสร้างเมืองกันต่อไป ดังที่ในหนังสือรู้ รักภาษาไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า หลักเมืองถือเป็นส่วนสำคัญของเมือง โดยตั้งเสาเป็นเครื่องหมายเพื่อแสดงว่าจะสร้างเมืองที่ตรงนั้นอย่างแน่นอน เช่น  หลักเมืองกรุงเทพมหานครอยู่ข้างกระทรวงกลาโหม เยื้องกับพระบรมมหาราชวัง เสาหลักเมือง หมายถึง เสาที่สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของเมือง มักทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์  เสาหลักเมืองถือเป็นใจของเมือง เป็นที่สถิตของเทพยดาผู้ปกปักพิทักษ์บ้านเมือง มีธรรมเนียมว่าก่อนที่จะสร้างเมืองจะต้องทำพิธียกเสาหลักเมืองในที่ที่เป็นชัยภูมิสำคัญ เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น เมื่อแรกสร้างกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำพิธีตั้งเสาหลักเมืองขึ้นก่อน ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับหอสมุดแห่งชาติ ว่า  “…จึ่งดำรัสสั่งให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่  ไปวัดกะที่สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันออก  ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง  เมื่อ ณ วันอาทิตย์เดือนหกขึ้นสิบค่ำ ฤกษ์เพลาย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที…” ส่วนคำว่า ศาลหลักเมือง หมายถึง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองและเป็นที่สถิตของเทพยดาผู้พิทักษ์เมืองซึ่งเรียกว่าพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง  ที่ปลายเสาหลักเมืองจะบรรจุดวงชะตาเมืองและเทวรูปที่เรียกกันว่า เจ้าพ่อหลักเมือง และมีพิธีประกาศอัญเชิญเทพเจ้าเข้าประดิษฐานในเทวรูปด้วย เพื่อให้ช่วยคุ้มครองป้องกันสรรพไพรีไม่ให้มาย่ำยีพระนครและพระราชอาณาจักร  ส่วนด้านทิศเหนือของศาลก็เป็นที่ประดิษฐานเทพารักษ์ทั้งห้า คือ เจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และพระกาฬไชยศรี ศาลหลักเมืองจึงเป็นสถานที่สิงสถิตของเทพเจ้าผู้มีมเหศักดิ์ คอยดูแลปกป้อง คุ้มครองบ้านเมืองและประชาชน (กนกวรรณ  ทองตะโก, 2557)
         การสร้างศาลหลักเมือง
         ในสมัยโบราณถือว่าพิธีสร้างพระนคร หรือสร้างบ้านสร้างเมือง ต้องฝังอาถรรพ์ 4 ประตูเมือง ต้องฝังเสาหลักเมืองและเสามหาปราสาท ต้องเอาคนที่มีชีวิต ฝังในหลุมทั้งเป็น เพื่อให้เป็นผู้เฝ้าทวารมหาปราสาทบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรู มิให้โรคภัยไข้เจ็บเกิดแก่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ผู้ครองบ้านเมือง ในการทำพิธีดังกล่าว ต้องเอาคนที่ชื่อ อิน จัน มั่น คง มาฝังลงหลุมจึงจะศักดิ์สิทธิ์ มีการดูฤกษ์ยามเพื่อค้นหาคน วิธีการก็คือ ระหว่างที่นายนครวัฒเที่ยวเรียกชื่อ อิน จัน มั่น คง ไปนั้น ใครขานรับขึ้นมาก็จะถูกนำตัวไปฝังในหลุม หลุมเสาหลักเมืองนั้นจะผูกเสาคานขนาดใหญ่ ชักขึ้นเหนือหลุมนั้นในระดับสูงพอสมควร โยงไว้ด้วยเชือกสองเส้นหัวท้าย ให้เสาหรือซุงนั้นแขวนอยู่ตามแนวนอน ส่วนเสาหลักเมืองนั้นจะถูกแขวนให้เป็นแนวตั้ง ครั้นถึงวันที่กำหนดจะกระทำการ ก็มีการเลี้ยงดูผู้เคราะห์ร้ายนั้นให้อิ่มหนำสำราญ แล้วแห่แหนนำไปที่หลุมนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็มีรับสั่งให้บุคคลทั้งหมดนั้นเฝ้าประตูเมืองไว้ มีการแจ้งข่าวให้ประชาชนรู้กันให้ทั่ว เมื่อมีคนมาชุมนุมกันมากพอเพื่อเป็นสักขีพยาน และพอถึงเวลาตามฤกษ์ ก็จะตัดเชือกปล่อยให้เสาหล่นลงมาทับคนที่ถูกเลือกให้อยู่ในหลุมตราบชั่วนิรันดร คนโบราณเชื่อว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น จะกลายสภาพเป็นอารักษ์จำพวกที่เรียกว่า ผีราษฎร์ และคนธรรมดาที่ร่ำรวยก็จะใช้วิธีนี้แก่ทาสของตน เพื่อใช้ให้เป็นผีเฝ้าขุมทรัพย์ที่ตนฝังซ่อนไว้ อย่างในสมัยของพม่า การสร้างเมืองใหม่ของพม่า ลักษณะของเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม จึงมีกำแพงกั้นสี่ด้าน แต่ละด้านมีประตูเมือง 3 ประตู รวมทั้งหมด 12 ประตูด้วยกัน การฝังอาถรรพ์ต้องใช้คนเป็นๆฝังตามประตูเมือง ประตูละ 3 คน และเฉพาะใต้พระที่นั่งในท้องพระโรงต้องฝังถึง 4 คน คนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อให้เป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้น ต้องเลือกคนให้ได้ตามลักษณะที่โหรพราหมณ์กำหนด จะไม่ใช้นักโทษที่ต้องโทษประหาร แต่จะเป็นคนที่อยู่ในวัยต่างๆกัน ตั้งแต่คนที่อายุมาก จนถึงเด็กผู้หญิงและผู้ชาย ทุกคนต้องมีฐานะเป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน และต้องเกิดตามที่โหรกำหนด ถ้าเป็นชายต้องไม่มีรอยสัก เป็นหญิงต้องไม่เจาะหู เมื่อถูกนำตัวมาก็ให้สั่งเสียร่ำราญาติพี่น้อง แล้วก็จะถูกนำตัวไปลงหลุม ญาติพี่น้องก็จะได้รับพระราชทานรางวัล หรือยศถาบรรดาศักดิ์ (สันติ  อภัยราช, 2544, หน้า 91)
ภาพที่ 1 ศาลหลักเมืองกำพงเพชร.jpg

ภาพที่ 1 ศาลหลักเมืองกำพงเพชร

         กำแพงเพชรเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองเจริญก้าวหน้ามาแต่โบราณกาล เท่าที่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตามศิลาจารึกต่างๆ ก็ปรากฏความรุ่งเรืองมาในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลิไท เคยเสด็จมาปกครองเมืองกำแพงเพชร และยังคงมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์เหลืออยู่คือ อุทยานประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน(สันติ อภัยราช, 2544, หน้า 91) ในบริเวณพระราชวังของกำแพงเพชร ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์นั้น ปรากฏมีศาลหลักเมืองอยู่ศาลหนึ่ง เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวจังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดใกล้เคียงมาก ศาลหลักเมืองแห่งนี้เชื่อกันว่าก่อสร้างมาแต่สมัยพระเจ้าลิไททรงปกครองเมืองกำแพงเพชรทำด้วยศิลาแลงรูปทรงกลมยาวประมาณ 2 เมตร ฝั่งโผล่ดินประมาณ 1 เมตรเศษ มีรูปเศียรเทพารักษ์โผล่อยู่บนยอดศิลาแลง ซึ่งประชาชนทั่วไปนับถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าพ่อหลักเมือง ศาลหลักเมืองแห่งนี้มีร่องรอยปรับปรุงหลายครั้ง แต่เดิมไม่ปรากฏแน่ชัดว่าอาคารศาลหลักเมืองทำด้วยอะไรแต่เขตปริมณฑลฝังด้วยศิลาแลง 4 เหลี่ยมจัตุรัสแต่ละด้านหันเกือบจะตรงกับทิศทั้งสี่ ก่อนมีการปรับปรุงขึ้นใหม่ เท่าที่ปรากฏหลักฐาน คือ เมื่อ พ.ศ.2472 หลวงมนตรีราช ได้สร้างศาลขึ้นใหม่เป็นรูปศาลทรงไทย หันหน้าขนานไปกับถนนสาย กำแพงเพชร-พรานกระต่าย (ซึ่งไม่ตรงกับทิศทั้งสี่) ต่อมาปรากฏว่า เศียรเทพารักษ์เดิมได้สูญหายไป ในปี พ.ศ. 2488 หลวงปริวรรต วรวิจิตร (จันทร์ เจริญชัย) ข้าหลวงประจำจังหวัดสมัยนั้น ได้มอบหมายให้ นายฉกาจ กุลสุ (ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่) ปั้นเศียรเทพารักษ์ขึ้นใหม่ ด้วยดินจากยอดสูงสุดของเขาหลวง ดินจากใจกลางโบสถ์กลางเจดีย์เก่าทั้งในจังหวัดกำแพงเพชร สุโขทัย ศรีสัชนาลัย พิษณุโลกและตาก ต่อมาปรากฏว่า กรมทางหลวงได้ปรับปรุงขยายถนนสายกำแพงเพชร-พรานกระต่ายให้มีระดับสูงกว่าศาลหลักเมืองเดิมเป็นอันมาก ประกอบกับตัวอาคาร ศาลหลักเมืองเดิมคับแคบ ทรุดโทรมวางทิศไม่ตรงตามหลักโหราศาสตร์ คือไม่ตรงตามทิศทั้งสี่ นายเชาวน์วัด สุดลาภา ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร จึงได้มีการปรับปรุง ศาลหลักเมืองขึ้นใหม่ (สันติ อภัยราช, 2544, หน้า 93)
         พ.ศ.2526 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ศาลหลักเมือง โดย นายเชาวน์วัศ สุลดาภา ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เนื่องจากศาลหลักเมืองฯ ทรุดโทรมมาก ขาดความเป็นสง่าราศี จึงมอบหมายให้ นายประมวล รุจนเสรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร ปรับปรุงเป็นอาคารจัตุรมุข พร้อมเขตปริมณฑลกว้าง 17.5 x 17.5 เมตร  สูงจากระดับเดิมประมาณ 19 เมตร หันหน้าเข้าหาทิศทั้งสี่ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นหินอ่อนทรายล้างสีศิลาแลง โดยใช้เงินบริจาคของชาวเมืองกำแพงเพชรทั้งสิ้น (สันติ อภัยราช, 2544, หน้า 93)
         พ.ศ.2527 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ประกอบพิธีเจิมเสาหลักเมืองเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2527 และมีพิธีเชิญหลักเมืองและเศียรเทพารักษ์ขึ้นในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2527 (สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกําแพงเพชร, 2561)

พิธีอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองขึ้นศาล

         วันที่ 5 พฤษภาคม 2527 
ก่อน 05.00 น. จัดเครื่องสังเวยพร้อม
05.09 น. - บูชาแม่พระธรณี เจ้าที่ เทพารักษ์ ดวงวิญญาณพระเจ้าวรมันต์ (เหม่ )
- นำลูกนิมิตลงหลุม (ผวจ., รอง ผวจ., นายอำเภอ และ ป.หน.กิ่งอำเภอโปรยข้าวตอกดอกไม้)
05.29 น. - ผวจ. จุดเทียนชัย รอง ผวจ.จุดเทียนบูชาเทพ
- เริ่มพิธีบวงสรวง เทพ-พรหม (พิณพาทบรรเลงเพลงสาธุการ)
-เจิมเสาหลักเมือง เศียรเทพารักษ์ ผูกผ้าสี ถวายพวงมาลัยเสาหลักเมืองและเศียรเทพารักษ์
05.45 น. - ผวจ.จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล รับศีล
06.01- 06.09 น. - เชิญเสาหลักเมืองและเศียรเทพารักษ์เข้าที่ (ผู้เชิญประกอบด้วย ผวจ., รอง ผวจ., นายอำเภอ และ ป.หน.กิ่งอำเภอ) พระสงฆ์สวดชยันโต พินพาท บรรเลงเพลงสาธุการ
- อัญเชิญเทพารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองศาลหลักเมือง
- ผวจ., รอง ผวจ., นายอำเภอ และ ป.หน.กิ่งอำเภอ จุดธูปบูชาเครื่องสังเวย
- เวียนเทียน 3 รอบ (ผู้เข้าร่วมพิธีใช้มือขวาแตะข้อศอกขวาของผู้เชิญเทียนต่อๆ กันล้อมรอบ ศาลหลักเมือง)
- เจ้าพิธีเป่าเทียน (พินพาทรัว 3 ลา)
- โปรยทาน
- รำบวงสรวง
- ลาเครื่องสังเวย
08.09 น. - พระสงฆ์ 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์
- ถวายสังฆทาน
- ถวายเครื่องไทยธรรม

(สมชาติ บุญนวน, 2527, หน้า 7)

         จากการที่ประชาชนจำนวนมากมากราบไหว้ขอพร ปิดทองเสาหลักเมือง รวมถึงการสรงน้ำเสาหลักเมืองในช่อวงเทศกาลสงกรานต์เป็นจำนวนมาก เสาหลักเมืองจึงมีสภาพทรุดโทรมลง ในปี พ.ศ.2550 นายเกียรติชัย ติรณศักดิ์กุล นายกเทศมนตรีเมืองกำแพงเพชร ซึ้งเป็นผู้จัดการศาลปกครองศาลหลักเมืองกำแพงเพชร ได้ประสานกรมศิลปากรบูรณะเสาหลักเมืองต้นเดิมและจัดสร้างเสาหลักเมืองจำลอง เพื่อให้ประชาชนได้ปิดทองและสรงน้ำแทนเสาหลักเมืองต้นเดิม ซึ้งรักษาไว้อยู่ในศาลหลักเมืองที่เห็นอยู่ปัจจุบัน พร้อมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบ เพื่อให้กลมกลืนไปกับเมืองเก่าและวัดพระแก้ว(สำนักงานเทศบาลเมืองกำแพงเพชร, 2555)
ภาพที่ 4 เสาหลักเมือง.jpg

ภาพที่ 2 เสาหลักเมือง

ภาพที่ 5 รูปเคารพของศาลเจ้า.jpg

ภาพที่ 3 รูปเคารพของศาลเจ้าหมื่นขุนศรีรวรจักร (เจ้าพ่อหลักเมือง)

         เสาหลักเมืองเดิม และรูปเคารพของศาลเจ้าหมื่นขุนศรีรวรจักร(เจ้าพ่อหลักเมือง) ถูกนำมาเก็บรักษาไว้ภายในเช่นเดิม แต่มิได้เปิดให้ประชาชนเข้ามาปิดทองหรือสรงน้ำพระในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทั้งนี้เพื่ออนุรักษ์และรักษาเสาหลักเมืองเดิมให้มีสภาพสมบูรณ์และอยู่คู่เมืองกำแพงเพชรต่อไป(สำนักงานเทศบาลเมืองกำแพงเพชร, 2555)
ภาพที่ 6 เสาหลักเมืองจำลอง.jpg

ภาพที่ 4 เสาหลักเมืองจำลองในศาลชื่อผู้จัดสร้างศาลหลักเมือง

ภาพที่ 5 เสาหลักเมืองจำลอง2.jpg

ภาพที่ 5 เสาหลักเมืองจำลอง

         การสร้างเสาหลักเมืองจำลอง ช่างผู้เชี่ยวชาญจากสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้สำรวจความเสียหายเสาหลักเมืองเดิม และนำไปบูรณะเพื่ออนุรักษ์เสาหลักเมืองเดิม พร้อมกันนนี้ได้จัดทำเสาหลักเมืองจำลองใหม่โดยทำจากไม้สักทองมีขนาด ความสูงจากพื้นถึงยอดเสา 2.29 เมตร ความกว้างของฐาน 64 เซนติเมตร โดยได้อัญเชิญเสาหลักเมืองจำลอง ที่ได้ผ่านการทำพิธีจากกรมศิลปากรมาวางไว้ เพื่อให้ประชาชนได้สักการะ ณ ศาลาชื่อผู้จัดสร้างศาลหลักเมือง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2551(สำนักงานเทศบาลเมืองกำแพงเพชร, 2555)
ภาพที่ 6 ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร2.jpg

ภาพที่ 6 ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร

ภาพที่ 7 ศาลาสักการะ.jpg

ภาพที่ 7 ศาลาสักการะ

         พ.ศ.2556 นายชัยวัฒน์ ศุภอรรถพานิช นายกเทศมนตรีเมืองกำแพงเพชร ได้บูรณะเสาหลักเมืองและศาลหลักเมืองใหม่อีกครั้ง และกลุ่มพ่อค้า ประชาชนได้ร่วมกันบริจาคก่อสร้างศาลาสักการะและระบบกระจายเสียงถวายศาลหลักเมืองกำแพงเพชร (สำนักงานเทศบาลเมืองกำแพงเพชร, 2555) อาคารศาลหลักเมืองที่ปรับปรุงขึ้นใหม่นี้ เป็นอาคารจตุรมุขพร้อมเขตปริมณฑล กว้าง 17.5*17.5 เมตร สูงจากระดับเดิมประมาณ 19 เมตร หันหน้าเข้าหาทิศทั้งสี่ ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นหินอ่อน ทรายล้างสีศิลาแลงสิ้นค่าก่อสร้างเฉพาะตัวอาคาร เป็นเงิน 960,000 บาท (สันติ  อภัยราช, 2544, หน้า 93)

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม[แก้ไข]

         อาคารศาลหลักเมืองที่ปรับปรุงขึ้นใหม่นี้ เป็นอาคารจัตุรมุขพร้อมเขตปริมณฑล กว้าง 17.5*17.5 เมตร สูงจากระดับเดิมประมาณ 19 เมตร หันหน้าเข้าหาทิศทั้งสี่ ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นหินอ่อน ทรายล้างสีศิลาแลงสิ้นค่าก่อสร้างเฉพาะตัวอาคาร (สันติ  อภัยราช, 2544, หน้า 93)

บุคคลที่เกี่ยวข้อง[แก้ไข]

         - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองกำแพงเพชร
         - เทศบาลเมืองกำแพงเพชร
         - กรมศิลปากร
         - คณะกรรมการศาลเจ้าหลักเมืองกำแพงเพชร

วิธี/ขั้นตอน/กระบวนการในการสักการะ[แก้ไข]

ภาพที่ 8 ศาลาจำหน่าย ดอกไม้ ธูป เทียน.jpg

ภาพที่ 8 ศาลาจำหน่าย ดอกไม้ ธูป เทียน

         การสักการะบูชาศาลหลักเมืองกำแพงเพชรนั้นมีวิธีการและขั้นตอนการสักการะเหมือนกับการสักการะศาลหลักเมืองของจังหวัดอื่น ๆ แต่ที่ศาลหลักเมืองกำแพงเพชรจะไม่มีการกำหนดตายตัวในการนำสิ่งต่างๆ มาสักการะ ใครอยากอธิษฐานอะไร แก้ไขปัญหาด้านไหน ให้นำสิ่งของที่มีความหมายในการช่วยเรื่องนั้นๆ มาทำการสักการะบูชาศาลหลักเมืองกำแพงเพชร เช่น ถ้าต้องการให้การงานราบรื่น ไม่ติดขัดสิ่งใด ให้นำน้ำมันตะเกียงมาถวายสักการะ ส่วนการบนบานต่าง ๆ ก็สามารถแก้บนด้วยสิ่งใดก็ได้ตามแต่ผู้บนบานนั้น ๆ พึงจะแก้บนตามที่ตนได้บนบานเอาไว้ ของแก้บนที่เป็นที่นิยมของศาลหลักเมืองกำแพงเพชรจะมีดังนี้ ได้แก่ หัวหมู ไข่ต้มผลไม้มงคลต่าง ๆ เหล้าขาวโบราญ เหล้าแดง ส่วนผู้ที่ทำการบนบานสิ่งที่มีค่ามาก หรือขอตำแหน่งการงานใหญ่ ๆ มักจะแก้บนด้วยการจ้างลิเกแก้บน หรือ นางรำมารำแก้บนแก่ศาลหลักเมืองกำแพงเพชรแทนการถวายสิ่งของตามบนปกติ (ธพัญชนก วงษ์ประดิษฐ์, การสัมภาษณ์, 26 สิงหาคม 2563)
         วิธีการไหว้ศาลหลักเมือง
         วิธีการไหว้นั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไร โดยเริ่มจากการไหว้พระที่หอพระพุทธรูปก่อนแล้วทำการปิดทอง ผูกผ้าแพรที่องค์พระหลักของเมืองจำลอง และนำพวงมาลัยไปถวายหลักเมืององค์จริง จากนั้นให้ถวายพวงมาลัยแก่องค์เทพารักษ์ทั้ง 5 พร้อมเติมน้ำมันตะเกียงพระประจำวันเกิด จากนั้นให้อธิษฐานขอพรและท่องคาถาบูชาองค์พระหลักเมือง ดังนี้
         คำบูชาเจ้าพ่อหลักเมือง
         นะโมตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต สัมมา  สัมพุทธัสสะ  ( 3 จบ )
         ศรีโรเมเทพเทวานัง  พระหลักเมืองเทวานัง  ทีปะธูปะจะปุบผัง  สักการะวันทนัง
         สูปะพยัญชนะ สัมปันนัง โภชะนานัง สาลีนัง อุทะกังวะรัง เตปิตุมะเห อนุรักขันตุ
         อาโรคะเยนะ สุเขนะจะ
         ข้าพเจ้าขอน้อมถวาย ดอกไม้ธูปเทียนบายศรี เครื่องตั้งสังเวยตามที่มีเพื่อการสักการะวันทา เจ้าพ่อหลักเมืองเจ้าขุนหมื่นศรีวรจักรและพระเทพเทวาทั้งหลาย ขอจงรับเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข ร่ำรวย มีความเจริญก้าวหน้า มั่นคงปลอดภัยอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ สาธุ
         สิ่งที่ต้องเตรียม
         ในบางจังหวัดอาจจะมีมากกว่าหรือแตกต่างออกไปจากนี้ ให้ยึดเอาตามความเหมาะสม
         • ธูป 3 ดอก
         • เทียน 1 เล่ม
         • ทองคำเปลว /ทองคำแผ่น
         • ดอกบัว 2 ดอก
         • พวงมาลัย 2 พวง
         • ผ้าแพร 3 สี (โฮโรโซไซตี้199, 2562)
ภาพที่ 9 พิธีบวงสรวงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกำแพงเพชร.jpg

ภาพที่ 9 พิธีบวงสรวงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกำแพงเพชร (ไทม์นิวส์, 2562)

         การบนบาน แก้บน และขอขมาต่อศาลหลักเมืองกำแพงเพชร
         ประชาชนจำนวนมากนิยมมาบนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อหลักเมืองเพื่อขอในสิ่งที่ตนต้องการ เมื่อได้ตามเจตนาจึงนำ หัวหมู ไก่ต้ม ไก่นึ่ง สุรา น้ำดื่ม ข้าวสุก มาแก้บน กลายเป็นประเพณีและสิ่งยึดเหนี่ยวที่สำคัญของชาวกำแพงเพชร (องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร, ม.ป.ป.) การบนบานต่าง ๆ ก็สามารถแก้บนด้วยสิ่งใดก็ได้ตามแต่ผู้บนบานนั้น ๆ พึงจะแก้บนตามที่ตนได้บนบานเอาไว้ ของแก้บนที่เป็นที่นิยมของศาลหลักเมืองกำแพงเพชร ได้แก่ หัวหมู ไข่ต้ม ผลไม้มงคลต่าง ๆ เหล้าขาวโบราญ เหล้าแดง ส่วนผู้ที่ทำการบนบานสิ่งที่มีค่ามาก หรือขอตำแหน่งการงานใหญ่ ๆ มักจะแก้บนด้วยการจ้างลิเก หรือ นางรำมารำแก้บนแก่ศาลหลักเมืองกำแพงเพชรแทนการถวายสิ่งของตามปกติ คำกล่าวแก้บนนั้นไม่มีคาถาหรือบทพูดตายตัวเพียบแค่เรานำสิ่งของที่เราได้บนเอาไว้มาถวายแล้วพูดต่อศาลหลักเมืองว่าตนได้มาแก้บนตามคำบนบานที่ได้ขอต่อศาลหลักเมืองไว้ ก็เป็นการเรียบร้อย (ธพัญชนก วงษ์ประดิษฐ์, การสัมภาษณ์, 26 สิงหาคม 2563)
         ผู้เฒ่าผู้แก่ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อหลักเมืองกำแพงเพชรว่า เจ้าพ่อหลักเมืองมีนามว่า ขุนศรีวรจักร มีทหารเอกชื่อ ทหารใจ เมื่อมีผู้มาแก้บน (ใช้บน) นอกจากจะแก้บนด้วยหัวหมู น้ำพริกดำ ข้าวสุก เหล้าและน้ำ แล้วยังนิยมแก้บนด้วยลิเก ซึ่งเรื่องที่แสดงไม่ได้คือ เรื่องเกี่ยวกับกองทัพพม่าเข้าตีเมืองกำแพงเพชร ผู้แสดงที่แสดงเป็นแม่ทัพพม่าขณะเข้าตีเมืองกำแพงเพชร จะเป็นลมล้มทั้งยืนแน่นิ่ง ทำอย่างไรก็ไม่ฟื้น จนกระทั่งมีผู้จุดธูปขอขมาต่อเจ้าพ่อหลักเมืองจะไม่แสดงเรื่องนี้อีก นักแสดงผู้เป็นแม่ทัพพม่าเข้าตีเมืองกำแพงเพชร จึงฟื้นหายเป็นปกติ
         ทุกวันนี้มีผู้นิยมนำหัวหมู ไก่ต้มหรือนึ่ง น้ำพริกหรือน้ำจิ้ม เหล้า (เดิมต้องเป็นเหล้าขาว) น้ำดื่ม ข้าวสุก มาแก้บนเป็นจำนวนมาก เมื่อวางสิ่งของที่ต้องการแก้บนต่อหน้าเจ้าพ่อหลักเมืองเรียบร้อยแล้ว ผู้บนจะจุดธูปเทียนบอกความเชื่อ เดิมต้องแก้บนก่อน 11.00 น. เพราะเจ้าพ่อจะต้องไปเฝ้าพระอิศวร ปัจจุบันมีความเชื่อใหม่ว่า ควรจะเป็นเวลาเที่ยงวัน (สันติ อภัยราช, การสัมภาษณ์, 1 ตุลาคม 2564)
         ในวันที่ 15 เมษายนของทุกปี เรียนว่า “วันพญาวัน” ซึ่งประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมพร้อมกัน ที่ศาลหลักเมืองกำแพงเพชรมักเรียกประชาชนที่มาร่วมกันว่า “ลูกช้าง” ทุกคนที่มาชุมนุมจะบนบานศาลกล่าวขอพรต่าง ๆ และประชาชนที่ยังไม่ได้แก้บนต้องแก้บนให้เสร็จสิ้นในวันนี้ นอกจากนี้ พราหมณ์จะทำพิธีบวงสรวงประจำปีเสร็จแล้วทำพิธีสรงน้ำเจ้าพ่อหลักเมือง และนิมนต์พระสงฆ์มาถวายภัตตาหารเพลด้วย (สำนักงานเทศบาลเมืองกำแพงเพชร, 2555) ดังนั้นวันที่ 15 เมษายนของทุกปีจะเป็นวันพิธีบวงสรวงประจำปี มีการสรงน้ำเสาหลักเมืองและถวายภัตตาหารเพลตามศาสนาพุทธ รวมถึงนิยมมาแก้บนกับศาลหลักเมืองกำแพงเพชรให้เสร็จภายในวันนี้ของปี
         การขอขมาองค์ศาลหลักเมืองหากใครทำการล่วงเกินศาลหลักเมือง ลืมแก้บนที่ตนทำการบนบานไว้ หรือรู้สึกว่าชีวิตไม่สมหวังมีอุปสรรค ต้องมาทำการขอขมากับศาลหลักเมืองกำแพงเพชร โดยการนำบายศรี มาถวายขอขมาต่อศาลหลักเมือง เพื่อเป็นการขออภัยต่อองค์ศาลหลักเมืองและเพื่อปัดเป่าอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ธพัญชนก วงษ์ประดิษฐ์, การสัมภาษณ์, 26 สิงหาคม 2563)
         การขอขมาองค์ศาลหลักเมือง
         หากใครทำการล่วงเกินศาลหลักเมือง ลืมแก้บนที่ตนทำการบนบานไว้ หรือรู้สึกว่าชีวิตไม่สมหวังมีอุปสรรค ต้องมาทำการขอขมากับศาลหลักเมืองกำแพงเพชร โดยการนำบายศรีมาถวายขอขมาต่อศาลหลักเมือง เพื่อเป็นการขออภัยต่อองค์ศาลหลักเมืองและเพื่อปัดเป่าอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ธพัญชนก วงษ์ประดิษฐ์, การสัมภาษณ์, 26 สิงหาคม 2563)
         คำขอขมาองค์หลักเมือง
         นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( 3 จบ )
         อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
         พระเสื้อบ้าน ทรงเมือง พระเสื้อบ้าน ทรงเมือง
         องค์พระหลักเมือง นายอิน นายจัน นายมั่น นายคง ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ขมามิหังลูกกราบขอขมาลาโทษ ที่เคยสบประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันในวันนี้ด้วยกาย วาจา ใจ ก็ดี รู้หรือไม่รู้ ก็ดี ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ดี ระลึกได้หรือระลึกไม่ได้ ก็ดีโปรดอภัยโทษ อโหสิกรรมให้ลูก ขอให้ปราศจากทุกข์ โศก โรคภัยคิดทำกิจการงานใด ขออย่าได้ขัด ได้คล่อง ขอให้สัมฤทธิ์ผลดังใจปรารถนาเทอญ

ข้อมูลการสำรวจ[แก้ไข]

แหล่งอ้างอิง[แก้ไข]

กนกวรรณ ทองตะโก. (2557). ว่าด้วยหลักเมือง. เข้าถึงได้จาก http://www.royin.go.th/.
ไทม์นิวส์. (2562.). ส่งท้ายสงกรานต์!!สรงน้ำขอพรศาลหลักเมืองกำแพงเพชร. เข้าถึงได้จาก https://timenews.in.th/2019/04/15/73838.
สมชาติ บุญนวน. (2527). ที่ระลึกงานเฉลิมฉลองศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจังหวัดกำแพงเพชร. กำแพงเพชร: สยามศิลป์.
สันติ  อภัยราช. (2544). ตามรอยเสด็จ ประพาสต้น พระพุทธเจ้าหลวง ณ เมืองกำแพงเพชร. กำแพงเพชร: หจก.ศรีสวัสดิ์การพิมพ์.
สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกำแพงเพชร. (2561). พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกำแพงเพชร. เข้าถึงได้จาก https://kamphaengphet.mots.go.th/news_view.php?nid=412
สำนักงานจังหวัดกำแพงเพชร. (ม.ป.ป.). ศาลหลักเมืองจังหวัดกำแพงเพชร. เข้าถึงได้จาก http://www.kamphaengphet.go.th/kp/index.php/site_content/9-gallery/118-thecitypillarshrine
สำนักเทศบาลเมืองกำแพงเพชร. (2555). ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร [แผ่นพับ]. กำแพงเพชร: ปริญญาการพิมพ์.
องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร. (ม.ป.ป.). จังหวัดกำแพงเพชร. กำแพงเพชร: หจก.ศรีสวัสดิ์การพิมพ์.
โฮโรโซไซตี้199. (2562). ขั้นตอนการไหว้ศาลหลักเมืองให้เกิดผลดีแก่ชีวิต. เข้าถึงได้จาก https://www.sanook.com/horoscope/170201/ 

วันเดือนปีที่สำรวจ[แก้ไข]

         วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2563

วันปรับปรุงข้อมูล[แก้ไข]

         วันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2564

ผู้สำรวจข้อมูล[แก้ไข]

         วุฒิชัย  ตรุษลักษณ์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
         พรรณพร  เทวโลก,  อพัฒชรา เรืองวงษ์ และสหรัฐ  บุญยืด นักศึกษาโปรแกรมวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร

คำสำคัญ (tag)[แก้ไข]

ศาลหลักเมือง, ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร, ศาลเจ้าพ่อกำแพงเพชร, หลักเมืองกำแพงเพชร, วิธีไหว้ศาลหลักเมือง