ฐานข้อมูล เรื่อง เสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชร

จาก KPPStudies
ไบยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

ข้อมูลทั่วไป[แก้ไข]

ชื่อเหตุการณ์[แก้ไข]

         เสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชร

ชื่อเรียกอื่น ๆ[แก้ไข]

         -

สถานที่เกิดเหตุการณ์[แก้ไข]

         จังหวัดกำแพงเพชร

วันที่เกิดเหตุ[แก้ไข]

         เมื่อวันที่ 25-29 สิงหาคม ร.ศ.125 ตรงกับ พ.ศ.2449

ความเป็นมาของเหตุการณ์[แก้ไข]

         เสด็จประพาสต้นนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงพระนิพนธ์คำอธิบายไว้เมื่อพิมพ์ครั้งก่อนมีความว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชอัธยาศัยโปรดในการเสด็จประพาสตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติมาเสด็จประพาสแทบทุกปี เสด็จไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ในพระราชอาณาเขตบ้านเสด็จไปถึงต่างประเทศบ้าง ได้เคยเสด็จตามมณฑลหัวเมืองในพระราชอาณาเขตทั่วทุกมณฑลเว้นแต่มณฑลภาคพายัพ มณฑลเพชรบูรณ์ มณฑลอุดร และมณฑลอีสานเท่านั้น ด้วยเมื่อในรัชกาลที่ 5 ทางคมนาคมถึงมณฑลเหล่านั้น จะไปมายังกันดารนักเปลืองเวลาและลำบากแก่ผู้อื่นจึงรออยู่มิได้เสด็จจนตลอดรัชกาลในการเสด็จประพาสหัวเมืองใหญ่น้อยในพระราชอาณาเขตนั้น บางคราวก็เสด็จไปเพื่อทรงตรวจจัดการปกครองจัดการรับเสด็จเป็นทางราชการบางคราวก็เสด็จไปเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถไม่โปรดให้จัดการรับเสด็จเป็นทางราชการที่เรียกว่า “ เสด็จประพาสต้น” อยู่ในการเสด็จเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถแต่โปรดให้จัดการที่เสด็จไปให้ง่ายยิ่งกว่าเสด็จไปประพาส เพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างสามัญคือไม่ให้มีท้องตราสั่งหัวเมืองให้จัดทำที่ประทับแรม ณ ที่ใด สุดแต่พอพระราชหฤทัยที่จะประทับที่ไหนก็ประทับที่นั่นบางทีก็ทรงเรือเล็กหรือเสด็จโดยสารรถไฟไปมิให้ใครรู้จักพระองค์ การเสด็จประพาสต้นเริ่มมีครั้งแรกเมื่อรัตนโกสินทร์ศก 123 (พ.ศ.2547) รายการเสด็จประพาสต้นครั้งนี้ นายทรงอานุภาพได้เขียนจดหมายเล่าเรื่องประพาสต้นไว้โดยพิสดาร ดังที่พิมพ์ไว้ในตอนต้นสมุดเล่มนี้ เหตุที่จะเรียกว่าประพาสต้นนั้น เกิดแต่เมื่อเสด็จในคราวนี้เวลาจะประพาสมิให้ใครรู้ว่าเสด็จไปทรงเรือมาดเก๋ง 4 แจวลำ 1 เรือนั้น ลำเดียวไม่พอบรรทุกเครื่องครัวจึงทรงซื้อเรือมาดประทุน 4 แจว ที่แม่น้ำอ้อมแขวงจังหวัดราชบุรีลำ 1 โปรดให้เจ้าหมื่นเสมอใจราชเป็นผู้คุมเครื่องครัวไปในเรือนั้นเจ้าหมื่นเสมอใจราชชื่อ อ้น จึงทรงดำรัสเรียกเรือลำนั้นว่า “ เรือตาอ้น” เรียกเร็ว ๆ เสียงเป็น“ เรือต้น” เหมือนในบทเห่ซึ่งว่า“ พระเสด็จโดยแดนชลทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย” ฟังดูก็เพราะดี แต่เรือมาดประทุนลำนั้นใช้อยู่ได้หน่อยหนึ่ง เปลี่ยนเป็นเรือมาดเก๋ง 4 แจวอีกลำ 1 จึงโปรดให้เอาชื่อเรือต้นมาใช้เรียกเรือมาดเก่ง 4 แจวที่ 14 สร้างด้วยสแกนเนอร์ สำหรับฉันลำที่เป็นเรือพระที่นั่งทรงอาศัยเหตุ นี้ถ้าเสด็จประพาสโดยกระบวนเรือพระที่นั่งมาดเก๋ง 4 แจว โดยพระราชประสงค์จะมิให้ผู้ใดทราบว่าเสด็จไป จึงเรียกการเสด็จประพาสเช่นนี้ว่า “ ประพาสต้น” คำว่า “ ต้น” ยังมีที่ใช้อนุโลมต่อมาจนถึงเครื่องแต่งพระองค์ในเวลาทรงเครื่องอย่างคนสามัญ เสด็จไปประพาสมิให้ผู้ใดเห็นแปลกประหลาดผิดกับคนสามัญดำรัสเรียกว่า “ ทรงเครื่องต้น” ต่อมาโปรดให้ปลูกเรือนฝากระดานอย่างไทยเช่นพลเรือนอยู่กันเป็นสามัญ ขึ้นในพระราชวังดุสิตก็พระราชทานนามเรือนนั้นว่า“ เรือนต้น” ดังนี้ การเสด็จประพาสต้นเมื่อราว ร.ศ.123 เป็นการสนุกยิ่งกว่าเคยเสด็จไปสำราญพระราชอิริยาบถแต่ก่อนมา ที่จริงอาจกล่าวว่าเป็นประโยชน์แก่ราชการบ้านเมืองได้อีกสถาน 1 เพราะเสด็จเที่ยวประพาสปะปนไปกับหมู่ราษฎรเช่นนั้นได้ทรงทราบคำราษฎรกราบทูลปรารภกิจสุขทุกข์ ซึ่งไม่สามารถจะทรงทราบได้โดยทางอื่นก็มากด้วยเหตุทั้งปวงนี้ ต่อมาอีก 2 ปีถึง ร.ศ.123 (พ.ศ.2445) จึงเสด็จประพาสต้นอีกคราว 1 เสด็จประพาสต้นคราวนี้หาปรากฏมาแต่ก่อน ว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดได้เขียนจดหมายเหตุไว้เหมือนเมื่อคราวเสด็จประพาสต้นครั้งแรกไม่ จนถึง พ.ศ.2467 พระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฎ ทรงพระปรารภจะใคร่พิมพ์หนังสือประทานตอบแทนผู้ถวายรดน้ำสงกรานต์ ตรัสปรึกษาสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้านิภานภดลกรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี-สมเด็จหญิงน้อยพระธิดา ทรงค้นหนังสือเก่าซึ่งได้ทรงเก็บรวบรวมไว้พบสำเนาจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ โดยดำรัสให้องค์หญิงน้อยทรงเขียนไว้ในเวลาสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมชนกนาถ เป็นตำแหน่งราชเลขาธิการฝ่ายใน อยู่ในเวลาเมื่อเสด็จประพาสคราวนั้น จึงประทานสำเนามายังหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร และมีรับสั่งมาว่าหนังสือเรื่องสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ถึง 17 ปี แล้วผู้ซึ่งยังไม่ทราบเรื่องเสด็จครั้งนั้นมีมากด้วยกัน ถ้าแห่งใดควรจะทำคำอธิบายหมายเลขให้เข้าใจความยิ่งขึ้นได้ ก็ให้กรรมการช่วยทำคำอธิบายหมายเลขด้วย จึงได้จัดการทำถวายตามพระประสงค์ทุกประการ
         เสด็จครั้งที่ 1 พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นกำแพงเพชร
         พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชร ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2449 ประทับแรมเมืองกำแพงเพชร อยู่ถึง วันที่ 27 สิงหาคม รวมทั้งสิ้น 10 วัน
         การเสด็จประพาสต้นในครั้งนั้น รัชกาลที่ 5 ทรงเลือกใช้เรือหางแมงป่องในการล่องตามลำน้ำ เพราเป็นเรือที่พ่อค้าใช้ขึ้นล่องอยู่แล้วจึงไม่เป็นที่น่าสังเกต ขณะที่มีเรือกลไฟซึ่งเป็นเรือของเจ้านายใช้ ภายใต้กาดูแลของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในฐานะผู้คุมด้านมหาดไทย ล่วงหน้าไปก่อนและในขบวนเรือประพาสต้นยังมีเรือเรืองซึ่งเป็นเรือถ่ายรูปร่วมขบวนหลวงเสด็จประพาสต้นกำแพงเพชรเสด็จโดยไม่เป็นทางการ ไม่ประสงค์ที่จะให้มีการต้อนรับ เพื่อพระองค์จะได้มีโอกาสทอดพระเนตรสุขทุกข์ประชาชนของพระองค์อย่างไม่มีการเตรียมการไว้ พระพุทธเจ้าหลวงออกจากพระราชวังสวนดุสิตตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2449 รอนแรมมาทางเรือ ผ่านลำน้ำเจ้าพระยา ถึงบ้านแดน เขตรอยต่อระหว่างกำแพงเพชรกับนครสวรรค์ ในครั้กระนั้น เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ทรงเข้าสู่ตัวเมืองกำแพงเพชร ในวันที่ 22 สิงหาคม ประทับแรมที่ พลับพลา บริเวณใกล้กับวัดชีนางเกา ปัจจุบันเป็นบ้านพัก รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งพลับพลานี้ เคยรับเสด็จ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ในรัชกาลที่ 5 เสด็จมาในปี พ.ศ.2448 ก็มาประทับที่นี้เช่นกันต่อมาพลับพลาแห่งนี้ ได้ใช้เป็นที่เรียนของกุลบุตรกุลธิดา ในจังหวัด เรียกกันว่าโรงเรียนพลับพลา เช้าวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2449 เสด็จไปทั้งฝน ผ่านวัดเล็กๆทำด้วยแล้วผ่านที่ว่าการเมืองที่สร้างยังไม่เสร็จ เสด็จเข้าทางประตูน้ำอ้อยปัจจุบันรื้อไปแล้ว ได้ทอดพระเนตร สามประตู คือ ประตูน้ำอ้อย ประตูบ้านโนน ประตูดั้น เสด็จเข้าไปในวัดพระแก้ว ตอนหน้าเป็นวิหารใหญ่อย่างวัด พระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยุธยา มณฑป ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ถ้าพระแก้วมาอยู่ที่กำแพงเพชรตามตำนาน ต้องมาอยู่ที่วัดแห่งนี้แน่นอน ทรงตรัสชมว่า พระเจดีย์วัดพระแก้ว เป็นเจดีย์ลอมฟาง ทำได้งามมาก เสด็จต่อไปจนถึงวัดช้างเผือกไปที่ศาลหลักเมืองแล้ว ไปที่ สระมน พระราชวังโบราณของเมืองกำแพงเพชร ราษฎรสร้างพลับพลาและปะรำในบริเวณสระมน มีราษฎรมาเข้าเฝ้าเป็นจำนวนมาก มีสำรับกับข้าว มาเลี้ยงหลายสิบสำรับ นายอำเภอพรานกระต่าย คือ หลวงอนุรักษ์รัฐกิจเป็นผู้ออกแบบสร้างถวายได้เสวยพระกระยาหารกลางวัน ที่สระมน แล้วได้ถ่ายรูปคนงามเมืองกำแพงเพชร ซึ่งเขาจัดหามาให้ ความจริงราษฎรที่มานั่งอยู่ทั้งหมู่หน้าตาดีกว่าก็มี ทรงตรัสชมว่า ผู้หญิงเมืองนี้นับว่ารูปพรรณสันนิษฐานดีกว่าเมืองอื่นในข้างเหนือคนงาม 4 คนมี หวีด บุตรหลวงพิพิธอภัยอายุ 16 ปี คนนี้รู้จักโปสเตอร์ถ่ายรูปจึงได้ถ่ายรูปเฉพาะคนเดียวยังอีกสามคนชื่อประคอง บุตรหลวงพิพิธอภัยเหมือนกัน อายุ 17 ปี ริ้ว ลูกพระพล อายุ 17 ปี พระองค์ส่งรูปไปล้างที่บางกอก ได้หนึ่งส่วน เสียสองส่วน จึงเอาห้องอาบน้ำที่พลับพลาเป็นห้องล้างรูป สองยามเศษจึงเสร็จ แล้วจึงเสด็จพักผ่อนอิริยาบถและกรณียกิจ ที่พระองค์มีต่อเมืองกำแพงเพชรนั้นมากมายเหลือคณานับ ถ้าพระองค์ไม่ถ่ายภาพเมืองกำแพงเพชรไว้ เราจะไม่มีหลักฐานอันใดอ้างอิงเลย พระคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม
         เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-เจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถและรอบรู้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองการปกครองเศรษฐกิจและสังคม ตลอดรัชสมัยได้ทรงพยายามฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้ประเทศดำรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ทรงพยายามพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุดหน้าทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ อีกทั้งเอาพระราชหฤทัยใส่ในทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด ประดุจดังบิดาพึงมีต่อบุตรพระราชกรณียกิจและพระราชจริยาวัตรอันงดงาม เป็นที่ประทับใจอย่างยิ่งแก่ประชาชนชาวไทย จึงทรงเป็นที่รักและบูชาของชนทุกชั้นและทุกยุคทุกสมัย สมดังพระสมัญญาภิไธยว่า“ สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า” มีพระราชนิพนธ์ร้อยแก้วและหนังสือหลายเรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึง พระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรในด้านต่าง ๆ อย่างเด่นชัดเช่นบทพระราชนิพนธ์“ เสด็จประพาสต้น” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อคราวเสด็จประพาสต้นเป็นครั้งที่ 2 ใน ร.ศ.125 (พ.ศ.2554) และ ครั้งที่ 3 ใน ร.ศ.127 (พ.ศ.2551) และพระนิพนธ์จดหมายเหตุเรื่อง“ เสด็จประพาสต้น” ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงนิพนธ์ไว้ เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นครั้งแรกใน ร.ศ.123 (พ.ศ.2547) เป็นต้น
         สภาพทั่วไปของจังหวัดกำแพงเพชร เป็นเมืองเก่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี เมื่อประมาณ 700 ปีมาแล้ว จากการศึกษาหลักศิลาจารึกโดยนักโบราณคดี ทำให้ทราบว่าจังหวัดกำแพงเพชรเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายเมือง เช่นเมืองชากังราวเมืองนครชุม เมืองไตรตรึงษ์ เมืองเทพนคร และเมืองคณฑี ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัย มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงเดิมว่า“ เมืองชากังราว” และมีเมืองบริวารรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก การที่กำแพงเพชรเป็นเมืองท่ารับศึกสงครามในอดีตอยู่เสมอ จึงเป็นเมืองยุทธศาสตร์มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น กำแพงเมืองคูเมืองป้อมปราการ วัดโบราณมีหลักฐานให้สันนิษฐานว่า เดิมเคยเป็นที่ตั้งของเมือง 2 เมือง คือ เมืองชากังราว และเมืองนครชุม โดยเมืองชากังราว สร้างขึ้นก่อนตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง พระเจ้าเลอไทกษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์สุโขทัย เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.1890 ต่อมาสมัยพระเจ้าลิไทกษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์สุโขทัย ได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิง คือ“ เมืองนครชุม” สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่องกำแพงเมืองไว้ว่า “เป็นกำแพงเมืองที่เก่าแก่มั่นคง ยังมีความสมบูรณ์มากและเชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย” ปัจจุบันจังหวัดกำแพงเพชร เป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่ง มีโบราณสถานเก่าแก่ซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงหลายแห่งรวมอยู่ใน “ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร " ซึ่งองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2534 นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวจังหวัดกำแพงเพชรอย่างยิ่ง

ข้อมูลจำเพาะ[แก้ไข]

ข้อมูลตามบันทึกเหตุการณ์ (ตามช่วงเวลา)[แก้ไข]

         เมืองกำแพงเพชร  วันที่ 25 สิงหาคม รัตนโกสินทร์ศก 125 ข้าพระพุทธเจ้า นายชัดมหาดเล็กเวรเดชหลานพระยาประธานนคโรทัยจางวางเมืองอุทัยธานี เดิมระบบราชการในกระทรวงมหาดไทย เป็นตำแหน่งนายอำเภออยู่มณฑลนครชัยศรี ข้าพระพุทธเจ้าป่วยเจ็บจึงกราบถวายบังคมลาออกจากหน้าที่ราชการ ขึ้นมารักษาตัวอยู่บ้านภรรยาที่เมืองกำแพงเพชร ข้าพระพุทธเจ้าได้สืบเสาะหาพระพิมพ์ของโบราณ ซึ่งมีผู้ขุดค้นได้ในเมืองกำแพงเพชรนี้ได้ไว้หลายอย่างพร้อมกันพิมพ์แบบทำพระ 9 แบบ ขอพระราชทานทูลเกล้าฯถวายงาน ข้าพระพุทธเจ้าได้สืบถามผู้เฒ่าผู้แก่ถึงตำนานพระพิมพ์เหล่านี้ อันเป็นที่เชื่อถือกันในแขวงเมืองกำแพงเพชรสืบมาแต่ก่อน ได้ความว่า พระพิมพ์เมืองกำแพงเพชรนี้ มีมหาชนเป็นอันมาก นิยมนับถือลือชามาช้านานว่า มีคุณานิสงส์แก่ผู้สักการะบูชาในปัจจุบัน หรือมีอานุภาพทำให้สำเร็จผลความปรารถนาแห่งผู้สักการบูชา ด้วยอเนกประการสัณฐานของพระพุทธรูปพิมพ์นี้ ตามที่มีผู้ได้พบเห็นแล้วมี 3 อย่าง คือพระลีลาศ (ที่เรียกว่าพระเดิน) อย่าง 1 พระยืนอย่าง 1 พระนั่งสมาธิอย่าง 1 วัตถุที่ทำเป็นองค์พระต่างกันเป็น 4 อย่างคือดีบุก (หรือตะกั่ว) อย่าง 1 ว่านอย่าง 1 เกสร อย่าง 1 ดินอย่าง 1  พระพิมพ์นี้ ครั้งแรกที่มหาชนจะได้พบเห็นนั้น ได้ในเจดีย์วัดพระธาตุฝั่งตะวันตกเป็นเดิมและการที่สร้างพระพิมพ์นี้ขึ้นนั้น ตามสามัญนิยมว่า ณ กาลครั้งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วมีพระบรมกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระยาศรีธรรมาโศกราช เป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ทรงมหิทธิเดชานุภาพแผ่ไปในทิศานุทิศตลอดจนถึงทวีปลังกาทรงอนุสรคำนึงในการสถาปนูปถัมภกพระพุทธศาสนา จึงเสด็จสู่ลังกาทวีปรวบรวมพระบรมธาตุสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาสร้างเจดีย์บรรจุไว้ในคำกล่าวว่าแควน้ำปิงและน้ำยมเป็นต้นเป็นพระเจดีย์จำนวน 84,000 องค์ ครั้งนั้นพระฤาษีจึงได้กระทำพิธีสร้างพระพิมพ์เหล่านี้ถวายแก่พระยาศรีธรรมาโศกราช เป็นการอุปการะในพระพุทธศาสนาครั้งแรก ที่จะได้พบพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ และพระพิมพ์เหล่านี้เดิม ณ ปีระกาเอกศกจุลศักราช 1211 (นับโดยลำดับปีมาถึงศกนี้ 58 ปี) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังกรุงเทพฯขึ้นมาเยี่ยมญาติ ณ เมืองกำแพงเพชรนี้ ได้อ่านแผ่นศิลาจารึกอักษรไทยโบราณที่ประดิษฐานอยู่ ณ พระอุโบสถวัดเสด็จ ได้ความว่า มีเจดีย์โบราณบรรจุพระบรมธาตุอยู่น้ำปิงตะวันตกตรงหน้าเมืองเก่าข้ามสามองค์ขณะนั้นพระยากำแพง (น้อย) ผู้ว่าราชการเมือง ได้จัดการค้นคว้า พบวัดและเจดีย์ สมตามอักษรในแผ่นศิลา จึงป่าวร้องบอกบุญราษฎรช่วยกันแผ้วถางและปฏิสังขรณ์ขึ้น เจดีย์ที่ค้นพบเดิมมี 3 องค์ องค์ใหญ่ซึ่งบรรจุพระบรมธาตุอยู่กลาง ชำรุดบ้างทั้ง 3 องค์ ภายหลังพระยากำแพง (อ่อง) เป็นผู้ว่าราชการเมือง แซงพอกะเหรี่ยง (ที่ราษฎรเรียกว่าพญาตะก่า) ได้ขออนุญาตรื้อพระเจดีย์สามองค์นี้ทำใหม่รวมเป็นองค์เดียว
         ขณะที่รื้อพระเจดีย์ 3 องค์นั้นได้พบกรุพระพุทธรูปพิมพ์และลานเงินจารึกอักษรขอม กล่าวตำนานการสร้างพระพิมพ์และลักษณะการสักการบูชาด้วยประการต่างๆ พระพิมพ์ชนิดนี้มีผู้ขุดค้นได้มีเมืองสรรคบุรีครั้งหนึ่ง แต่หามีแผ่นลานเงินไม่ แผ่นลานเงินตำนานนี้ กล่าวว่า มีเฉพาะแต่ในพระเจดีย์วัดพระธาตุฝั่งน้ำปิงตะวันตกแห่งเดียวมีสำเนาที่ผู้อื่นเขียนไว้ ดังนี้
         ตำนาน
         ตำบลเมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิชัยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ ว่า ยังมีฤษี 11 ตน  ฤษีเป็นใหญ่ 3 ตน ตนหนึ่งฤษีพิลาไลย ตนหนึ่งฤษีตาไฟ ตนหนึ่งฤษีตางัว เป็นประธานแก่ฤษีทั้งหลาย จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งนี้จะเอาอันใดให้แก่พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤษีทั้ง 3 จึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่าเราจะทำด้วยฤทธิ์ ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทอง ไว้ฉะนี้ ฉลองพระองค์จึงทำเป็นเมฆพัด อทุมพรเป็นมฤตย์พิศม์อายุวัฒนะ พระฤษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อยเป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย สมณชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน 5,000 พรรษา พระฤษีองค์หนึ่งจึงว่าแก่ฤษีทั้งปวงว่าท่านจงไปเอาว่านทั้งหลายอันมีฤทธิ์เอามาให้สัก 1,000 เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษที่มีกฤษณาเป็นอาทิให้ได้ 1,000 ครั้นเสร็จแล้ว ฤษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวง ให้ช่วยกันบดยาทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเป็นเมฆพัดสถานหนึ่ง ฤษีทั้ง 3 องค์นั้น จึงบังคับฤษีทั้งปวงให้เอาว่านทำเป็นผงเป็นก้อน ประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวงให้ประสิทธิ์ทุกอัน จึงให้ฤษีทั้งนั้นเอาเกสรและว่านมาประสมกันดี เป็นพระให้ประสิทธิ์แล้วด้วยเนาวะหรคุณ ประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด ให้ระลึกถึงคุณพระฤษีที่ทำไว้นั้นเถิด ฤษีไว้อุปเทศดังนี้
         แม้อันตรายสักเท่าใดก็ดีให้นิมนต์พระใส่ศีรษะอันตรายทั้งปวงหายสิ้นแล ถ้าจะเข้าการณรงค์สงคราม ให้เอาพระใส่น้ำมันหอมเข้าด้วยเนาวะหรคุณ แล้วเอาใส่ผมศักดิ์สิทธิ์ความปรารถนา ถ้าผู้ใดจะประสิทธิ์แก่หอกดาบศัสตราวุธทั้งปวง เอาพระสรงน้ำหอมแล้วเสกด้วยอิติปิโสภกราติเสก 3 ที่ 7 ที แล้วใส่ขันสัมฤทธิ์พิษฐานตามความปรารถนาเถิด ถ้าผู้ใดจะใคร่มาตุคาม เอาพระสรงน้ำมันหอมใส่ใบพลูทาประสิทธิ์แก่คนทั้งหลาย ถ้าจะสง่าเจรจาให้คนกลัวเกรง เอาใส่น้ำมันหอมหุงขี้ผึ้งเสกด้วยเนาวะหรคุณ 7 ที ถ้าจะค้าขายก็ดีมีที่ไป ทางบกทางเรือก็ดี ให้มนัสการด้วยพาหุงแล้วเอาพระสรงน้ำหอมเสกด้วยพระพุทธคุณอิติปิโสภกราติเสก 7 ที่ ประสิทธิ์แก่คนทั้งหลายแล ถ้าจะไม่สวัสดีสถาพรทุกอัน ให้เอาดอกไม้ดอกบัวบูชาทุกวัน จะปรารถนาอันใดก็ได้ทุกประการแล ถ้าผู้ใดพบพระเกสรก็ดี พระว่านก็ดี พระปรอทก็ดีก็เหมือนกันอย่าได้ประมาทเลย อานุภาพดังกำแพงล้อมกันภัยแก่ผู้นั้น ถ้าจะให้ความศูนย์ เอาพระสรงน้ำหอมเอาด้าย 11 เส้น ชุบน้ำมันหอม และทำไส้เทียนตามถวายพระแล้วพิษฐานตามความปรารถนาเถิด ถ้าผู้ใดจะสระหัวให้เขียนยันต์นี้ใส่ไส้เทียนเถิด แล้วว่านโมไปจนจบ แล้วว่าพาหุง แล้วว่าอิติปิโส การมหเชยุย์มงคลแล้วว่าพระเจ้าทั้ง 25 พระองค์เอาทั้งคู่ กิริมิติ กุรุมุทุ กรมท เกเกเมเทตามแต่เสกเถิด 3 ที่ 7 ที่วิเศษนัก ถ้าได้รู้พระคาถานี้แล้ว อย่ากลัวอันใดเลยท่านตีค่าไว้ ควรเมืองจะไปรบศึกก็คุ้มได้สารพัดศัตรูแล ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานคัดต่อ มาดังนี้
         ขากลับลงเรือซะล่าล่องไปขึ้นท้ายเมืองใหม่ เดินขึ้นมาจนถึงพลับพลาที่เมืองใหม่นี้ มีถนน 2 สายยาวขึ้น มาตามลำน้ำเคียงกันขึ้นมา สาย 3 อยู่ริมน้ำ สาย 1 อยู่บนดอน แต่ถึงสายริมน้ำ หน้าน้ำก็ไม่ท่วมบ้านเรือนก็เป็นอย่างลักษณะถนนบ้านหม้อ เมืองเพชรบุรี หรือถนนบางกอกอย่างเก่า ไม่ใช่ถนนเสาชิงช้าผู้คนก็แน่นหนาอยู่มาแต่ท้ายเมืองถึงพลับพลาประมาณ 20 เส้นเศษ วันนี้ถ่ายรูปได้มากแต่สนุกเพราะได้เปลี่ยนแว่นเปลี่ยนทำนองถ่ายและถ่ายง่าย ไม่เหมือนถ่ายในป่า 2 วันมาแล้ว ซึ่งยังไม่เคยถ่ายเลยล้างรูป ไว้แต่กระจกใหญ่จะล้างหมดกลัวแห้งไม่ทัน วันนี้ได้ตัดผมตามพระเทพาภรณ์ขึ้นมาจากบางกอกโดยทางรถไฟ แล้วลงเรือมาแต่นครสวรรค์เพราะหาเวลาตัดไม่ได้
ภาพที่ 1 ปากคลองสวนหมากดูทางบ้านผู้ใหญ่วัน.jpg

ภาพที่ 1 ปากคลองสวนหมากดูทางบ้านผู้ใหญ่วัน

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 2 หน้าบ้านพะโป๊กะเหรี่ยงที่คลองสวนหมาก.jpg

ภาพที่ 2 หน้าบ้านพะโป๊กะเหรี่ยงที่คลองสวนหมาก

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 3 พระเจดีย์พระยาตะก่าและพะโป๊สร้าง.jpg

ภาพที่ 3 พระเจดีย์พระยาตะก่าและพะโป๊สร้าง

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

         วันที่ 26 หมายจะยังไม่ตื่น แต่หมาเข้าไปปลุก 2 โมงเศษ กินข้าวแล้วออกไปแจกของให้เลี้ยงดูและรับทั้งผู้หญิงผู้ชาย หลวงพิพิธอภัยผู้ช่วยซึ่งเป็นบุตรพระยากำแพง (อ้น) นำดาบฝักทองพระพุทธยอดฟ้าพระราชทานพระยากำแพง (นุช) เป็นบำเหน็จมือ เมื่อไปทัพแขกแล้วตกมาแก่พระมาก (นาค) ซึ่งเป็นสามีแพงบุตรีพระยากำแพง (นุช) บุตรพระยากำแพง (นุช) และแพงภรรยาได้เป็นผู้ว่าราชการเมืองกำแพงต่อมา 4 คน คือ พระยากำแพง (บัว) พระยากำแพง (เถอน) พระยากำแพง (น้อย) พระยากำแพง (เกิด) ได้รับดาบเล่มนี้ต่อ ๆ กันมา ครั้นพระยากำแพง (เกิด) ถึงอนิจกรรม ผู้อื่นนอกจากตระกูลนี้มาเป็นพระยากำแพงหลายคน ดาบตกอยู่แก่นายอันบุตรพระยากำแพง (เกิด) ซึ่งเป็นบิดาหลวงพิพิธอภัย ภายหลังนายอ้นได้เป็นพระยากำแพงครั้นพระยากำแพง (อ้น) ถึงแก่กรรม ดาบจึงตกอยู่กับหลวงพิพิธอภัยบุตร ผู้นำมาให้นี้พิเคราะห์ดูก็เห็นจะเป็นดาบพระราชทานจริง เห็นว่าเมืองกำแพงเพชรยังไม่มีพระแสงสำหรับเมืองเช่นแควใหญ่ ไม่ได้เตรียมมาจึงได้มอบดาบเล่มนี้ไว้เป็นพระแสงสำหรับเมือง ให้ผู้ว่าราชการรักษาไว้สำหรับใช้ในการพระราชพิธี แล้วถ่ายรูปพวกตระกูลเมืองกำแพงที่มาหาตั้งต้น คือท่านผู้หญิงทรัพย์ภรรยาพระยากำแพง (เกิด) อายุ 43 ปีจอ เห็นจะเป็นปีจอ (ฉศก) จุลศักราช 1176 ยังสบายแจ่มใสพูดจาไม่หลงเดินได้เป็นต้น กับลูกที่มา 2 คนคือชื่อผึ้ง ภรรยาพระพล (เหลี่ยม) อายุ 73 ปี ลูกคนสุดท้องชื่อภู่ เคยไปทำราชการในวังครั้งรัชกาลที่ 4 แล้วมาเป็นภรรยาพระยารามรณรงค์ (หรุ่น) อายุ 64 ปี หลานหญิงชื่อหลาบ เป็นภรรยาหลวงแพ่งอายุ 64 ปี หลานหญิงชื่อเพื่อน เป็นภรรยาพระพลอายุ 40 ปี หลานหญิงชื่อพัน ภรรยาหลวงพิพิธอภัยอายุ 84 ปี หลานชายหลวงพิพิธภัยอายุ 84 ปี เหลนที่มา 6 คน คือ กระจ่างภรรยานายชิด อายุ 25 ปี เปล่งภรรยานายคลองอายุ 21 นิ้วบุตรีพระพลอายุ 17 ประคองอายุ 17 หวีดอายุ 16 บุตรหลวงพิพิธอภัยละอองบุตรีนายจีนอายุ 12 ปี โหลนได้ตัวมา 2 คนแต่ถ่ายคนเดียวแต่ที่ชื่อละเอียดบุตรีโน้มอายุ 13 ปี ได้ถ่ายรวมกันเป็น 5 ชั่วคนที่ถ่ายนี้กันออกเสียบ้าง ด้วยมาไม่ครบหมดด้วยกันลูกหลานเหลนโหลนซึ่งสืบมาแต่ท่านผู้หญิงทรัพย์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ 111 คนที่เมืองกำแพงนี้ประหลาดว่าเป็นที่มีไข้เจ็บชุม ถึงถามชาวเมืองนั้นเองก็ไม่มีใครปฏิเสธสักคนหนึ่งว่าไข้ไม่ชุมและไม่ร้าย แต่ได้พบคนแก่ทั้งหญิงทั้งชายมากกว่าที่ไหน ๆ หมดกรมการคร่ำ ๆ อายุ 70-40 ก็ไม่หลายคน ราษฎรตามแถวตลาดก็มีคนแก่มาก ถ้าจะหารือพวกกำแพงจริง คงบอกว่าพระพิมพ์ป้องกันด้วยนับถือกันมาก พระเล่าให้ฟังว่าเวลาที่ไม่ได้เสด็จมาหากันนัก หายากอย่างยิ่งต่อเมื่อเสด็จมาจึงรู้ว่าพระพิมพ์มีมากถึงเพียงนี้ ต่างคนต่างก็เตรียมกันอยากจะถวายก็เป็นความจริง เพราะผู้ที่มาถวายไม่ได้ถือหรือห่อมาตามปกติ จัดมาในพานดอกไม้นั่งรายตามริมถนนได้เสมอทุกวันไม่ได้ขาด ดูความนับถือกลัวเกรงเจ้านั้นมากอย่างยิ่ง เพราะไม่ใคร่ได้เคยเฝ้าแทน แต่กิริยาอาการเรียบร้อยไม่เหมือนตำบลบ้านตามระยะทาง ซึ่งกล้าไปยืนอยู่คงมีผู้มากราบถึงตีนไม่ได้ขาด ถ่ายรูปแล้วเสด็จลงเรือประพาส ล่องไปขึ้นท่าหน้าวัดเสด็จ เพื่อจะถ่ายรูปวัดเสด็จ ซึ่งเป็นที่จารึกบอกเรื่องพระพิมพ์แต่คำจารึกนั้นได้นำไปกรุงเทพฯเสียแล้ว) แล้วจึงเดินไปวัดคูยาง ซึ่งเป็นที่พระครูเจ้าคณะอยู่ผ่านถนนสายในถนนสายนี้งามมาก ได้ถ่ายรูปไว้และให้ชื่อถนนราชดำเนินวัดคูยางนี้มีลำดูกว้างประมาณ 5 วาหรือ 8 วา น้ำขังหอไตรและกุฏิปลูกอยู่ในน้ำแปลกอยู่ต่อข้ามดูเข้าไป จึงถึงบริเวณพระอุโบสถทางที่เข้าเป็นทิศตะวันตก ด้านหลังหันหน้าออกทางทุ่งมีพระอุโบสถย่อมหลังหนึ่งวิหารใหญ่หลังหนึ่ง ก่อด้วยแลงแต่เสริมอิฐถือปูนหลังคาเห็นจะผิดรูปเตี้ยแบนไป หลังพระวิหารมีฐาน 3 ชั้นอย่างพระเจดีย์เมืองนี้ แต่ข้างบนแปลงเป็นพระปรางค์เห็นจะแก้ไขขึ้นใหม่ โดยฟังเสียแล้วไม่รู้ว่ารูปเดิมอย่างไร ในพระวิหารมีพระพุทธรูปต่าง ๆ อยู่ข้างจะดี ๆ พระครูเลือกไว้ให้ เป็นพระลีลาสูงศอกคืบกับอะไรอีกองค์หนึ่งต้นเต็มที่ ไม่ชอบจึงได้ขอเลือกเอาเอง 4 องค์ เป็นพระยืนกำแพงโบราณแท้ชั้นเขมรองค์ 1 พระนาคปรกขาดฐานเขาหล่อฐานเติมขึ้นไว้องค์ 1 พระกำแพงเก่าอีกองค์ 1 พระชินราชจำลองเหมือนพอใช้อีกองค์ 1 กลับจากวัดหยุดถ่ายรูปบ้าง จนเที่ยงจึงได้ลงเรือเหลืองล่องลงมา ไม่พบกรมหลวงประจักษ์ตกลงทำกับข้าวกันมาต่อจวนกับข้าวสำเร็จ จึงได้พบแวะกินที่พลับพลาปากอ่างล่องเรือลงมาหยุดชั่ว แต่พอถ่ายรูปเวลาพบเท่านั้น ขาล่องนี้เรือใช้ตีกรรเชียงแต่ก็เป็นอันสักว่าตีเบาเสียกว่ากรรเชียงเรือเล็กๆอยู่ในลอยน้ำลงมาถึงที่พักแรมตำบลวังนางร้าง แต่ที่แท้เขาเรียกวังอีร้างเรียกนางร้างถึงตาถือท้ายไม่เข้าใจเวลาทุ่มเศษ
ภาพที่ 4 แผนที่จังหวัดกำแพงเพชร.jpg

ภาพที่ 4 แผนที่จังหวัดกำแพงเพชร

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 5 ลูก หลาน เหลน โหลน ซึ่งมีมาแต่ท่านผู้หญิงทรัพย์.jpg

ภาพที่ 5 ลูก หลาน เหลน โหลน ซึ่งมีมาแต่ท่านผู้หญิงทรัพย์

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 6 วัดเสด็จอยู่ท้ายตลาด.jpg

ภาพที่ 6 วัดเสด็จอยู่ท้ายตลาด

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 7 พระวิหารหลวงวัดคูยาง.jpg

ภาพที่ 7 พระวิหารหลวงวัดคูยาง

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 8 ถนนสายในที่เรียกราชดำเนิน ถ่ายเวลาพลบ.jpg

ภาพที่ 8 ถนนสายในที่เรียกราชดำเนิน ถ่ายเวลาพลบ

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 9 ถนนเดิมสายนอก ถ่ายเวลาพลบ.jpg

ภาพที่ 9 ถนนเดิมสายนอก ถ่ายเวลาพลบ

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 10 ลองตีกันเชียงขาล่อง.jpg

ภาพที่ 10 ลองตีกันเชียงขาล่อง

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 11 ล่องเรือเวลาพลบ.jpg

ภาพที่ 11 ล่องเรือเวลาพลบ

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

         วันที่ 27 ออกเรือเช้า 3 โมงจน 5 โมง จึงได้ไปถึงเรือเหลือง หยุดกินข้าวที่ตลิ่งเป็นป่าฝั่ง แล้วมาหยุดที่หาดถ่ายรูปเวลาพระอาทิตย์ตก เลยตีกรรเชียงลงมาจนถึงพลับพลาบ้านแดน ไม่มีเรื่องอะไรเลยนอกจากอ้ายกรรเชียงที่ง่ายแสนสาหัส ขึ้นชื่อว่ากรรเชียงแล้วไม่มีอะไรจะเบาเท่า ถ้าขึ้นตีทวนน้ำแล้วเป็นไม่ขึ้นเป็นอันขาด
         วันที่ 28 ออกเรือ 3 โมงเช้า ต้องรอรับพวกจีนไทยที่มาหารวมทั้งตาแสนปม ที่เห็นพายเรือมาแต่วานนี้ด้วยแวะกินข้าวที่พลับพลาหัวดง ซึ่งเขากะให้มาแรมเวลาบ่ายโมง 1 เท่านั้น จึงเปลี่ยนเลื่อนลงมายางเอนหยุดถ่ายรูปเขานอครั้งหนึ่ง มาตามทางมีคนรู้จักเรือเหลืองว่าเป็นที่นั่งทั่วทุกแห่งที่ ไหนเคยแวะที่นั่นคนยิ่งประชุมมากมีอะไรที่จะที่จะเคาะโห่ร้องได้ก็ตี เคาะโห่ร้องทุกแห่งมีลงเรือพายตามเอาของมาให้ก็มาก ที่เก้าเลี้ยวประโคมใหญ่เพิ่มเถิดเทิงด้วยผู้หญิง ตีเถิดเทิงมาถึงเขาดินได้ยินเสียงมโหรีและพระสวด เห็นเวลายังวันอยู่จึงได้คิดแวะถ่ายรูป แต่ชายหาดน้ำตื้นเรือใหญ่เข้าไปไม่ถึงต้องลงเรือเล็กลำเลียงเข้าไปอีก เดินหาดร้อนเหลือกำลังทั้งเวลาก็บ่าย 4 โมงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเขา แต่ครั้นเข้าถ่ายรูปที่เขาแล้วเห็นที่วัดตระเตรียมรับแน่นหนามากจึงเลยไปถ่ายรูป ครั้นเข้าไปใกล้ดูคนตะเกียกตะกายกันหนักขึ้น จนต้องยอมขึ้นวัดวัดนี้เรียกชื่อสามัญว่าวัดเขาดิน แต่ชื่อตั้งหรูมากจนจำไม่ได้ต้องจดว่า“ วัดพระหน่อธรณินทรใกล้วารินคงคาราม” เจ้าอธิการชื่อเฮงรูปพรรณสัณฐานดีกลางคนไม่หนุ่มไม่แก่เป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระที่คนจะนับถือมาก พึ่งมาจากวัดมหาโพธิที่ตรงกันข้ามได้ 2 ปี มีแต่คนแก่สัปปุรุษและชาวบ้านหลายคนมาคอยอธิบายชี้แจงโน่นนี่เจ้าอธิการว่า ได้สร้างศาลาขึ้นไว้หลังหนึ่งขัดเครื่องมุง จึงให้เงิน 100 บาทช่วยศาลานั้น แล้วสัปปรุษทายกชักชวนให้เข้าไปดูในวัดซึ่งเชื่อเสียแล้วว่าจะไม่มีอะไร แต่เสียอ้อนวอนไม่ได้ ครั้นเข้าไปถึงในลานวัดเห็นใหญ่โตมากเป็นที่เรียบราบใต้ร่มไม้ใหญ่กว้างเห็นจะเกือบ 3 เส้นยาวสัก 4 เส้น เป็นที่รักษาสะอาดหมดจดอย่างยิ่ง รู้สึกสบายถ่ายรูปแล้วพวกสัปปุรุษชวนให้ไปดูพระอุโบสถซึ่งอยู่บนเขา จึงได้รู้ว่ามีทางอีกทางหนึ่งสำหรับขึ้นเขา มีบันไดอิฐขึ้นตลอดจะต่ำกว่าเขาบวชนาคสักหน่อย แต่ทางขึ้นง่ายไม่ใช่เขาดินเป็นเขาศิลา มีดินหุ้มแต่ตอนล่าง ๆ พวกสัปปุรุษพากันตักน้ำขึ้นไปไว้สำหรับจะให้กินจะให้อานโบสถ์นั้น รูปร่างเป็นศาลาไม่มีฝาหลังใหญ่มีพระเจดีย์องค์ 1 แต่ข้างหลังโบสถ์แลดูภูมิที่งดงามดี คือมีบึงใหญ่เห็นจะเป็นลำเดียวกันกับบึงบ้านหูกวาง แลเห็นเขาหลวงเมืองนครสวรรค์สกัดอยู่ ในที่สุดถ่ายรูปแล้วไล่เลียงเรื่องวัดนี้ได้ความว่า พระครูหวานอยู่วัดมหาโพธิมาเริ่มสร้างได้ 70 ปีมาแล้ว ปฏิสังขรณ์ต่อ ๆ กันมาตามที่เล่านั้นว่า เป็นที่สิงสู่ของพวกชาวลับแลพึ่งจะย้ายขึ้นไปอยู่เขาหลวงเสียเมื่อเร็ว ๆ นี้มีตาแก่คนหนึ่งอายุ 80 เศษ เป็นผู้รู้เรื่องชาวลับแลมากตั้งแต่ชั้นต้นมามีตาเจ๊กคำคนหนึ่งอายุ 60 เศษ เป็นพยานยืนยันชั้นเก่า ๆ ยังพวกหนุ่ม ๆ อีกเป็นกองเป็นพยานยืนยันชั้นหลังได้ยินเสียงพิณพาทย์และเสียงพ้องเสียงโห่ร้อง เพราะผิดกับสามัญเป็นอันมาก ครั้นขึ้นไปดูก็ไม่เห็นอะไรในบึงหลังเขาแต่เดิมไม่มีกระบิรกเช่นนี้ เพราะเป็นที่เขาเล่นแข่งเรือกันได้ยินเสียงเกรียวกราว ไปดูก็ไม่เห็นอะไร ทั้งการที่ได้ยินเกรียวกราวนั้นไม่ใช่เวลากลางคืนเป็นเวลากลางวันด้วย ต่อแล้ว ๆ จึงได้เห็นกระทงที่ใส่ของมากินนั้นทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ในบึง จนเมื่อเวลาเสด็จขึ้นไปเหนือทางแควใหญ่ เร็วๆนี้เองก็ยังได้ยินเสียงอยู่แต่ก่อนที่เขานี้มีถ้ำหลายแห่ง พวกลับแลเขาไปเขาปิดถ้ำเสียด้วย ได้ถามล่อจะให้เห็นคนรู้ไม่ยอมรับเห็นเล่าแต่เรื่องคนลับแลอย่างเดียวเป็นจริงเป็นจังไป คนเชื่อลับแลเช่นนี้ยังมีมาก แล้วเขาพาเดินไปตามสันเขาออกไปลูกนอก ซึ่งแลเห็นจากแม่น้ำมีวิหารเล็กและทับที่คนอาศัย รักษาสะอาดหมดจดดีเหมือนกัน เอาอ่างมาตั้งเป็นกระถางต้นไม้เล่นเข้าดีพอใช้ กลับลงทางด้านข้างริมน้ำซึ่งมีบันไดปูนเหมือนกันเจ้าอธิการถามหาทูลกระหม่อมมีติดขึ้นมาบ้างหรือไม่ ครั้นได้ความว่ามีมาจึงเอาแหวนถักพิรอดมาแจกแหวนนั้นทำนองเดียวกับขรัวม่วงวัดประดู่ แต่ขรัวม่วงถักด้วยกระดาษลงรักนี่ถักด้วยด้ายทำเรียบร้อยดี กลับลงมาโดยสะพานเขาทำยืนลงมาจนพ้นหาดในยาวอยู่พวกราษฎรทั้งชายหญิงและเด็กลงมาช่วยกันเป็นเรือโดยความเบิกบานเหมือนอย่างแห่พระเด็ก ๆ จนจมถึงคอ ยังไม่วางต้องไล่ล่องลงมาถึงพลับพลายางเอนเวลาพลบ วันนี้ยุงชมกว่าทุกวันถึงเมื่อขามามีที่นครสวรรค์ตอนบนมีบ้าง ก็เป็นยุงนอนหัวค่ำไม่มีไปเท่าไรแต่อย่างไร ๆ ก็คงน้อยกว่าบางกอก
ภาพที่ 12 เมืองกำแพงเพชร.jpg

ภาพที่ 12 เมืองกำแพงเพชร

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 13 ล่องจากกำแพงเพชรเหนือยางเอนเวลาพลบ.jpg

ภาพที่ 13 ล่องจากกำแพงเพชรเหนือยางเอนเวลาพลบ

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

         วันที่ 29 เช้า พวกชาวบ้านมาหา แต่ล้วนพวกที่ยังไม่รู้จักต้องการจะมาดู ในหมู่นั้นมียายอิมบ้านพังม่วงซึ่งได้ไปขึ้นกินข้าววันแรก มาด้วยกับลูกสาวคนหนึ่ง หลานคนหนึ่งครั้นเวลาออกไปก็ไม่รู้จักอยู่นั่นเองได้ถามว่า พระยาโบราณไปที่บ้านหรือ ตอบว่า ท่านว่าท่านเป็นพระยาโบราณแต่อย่างไรก็ไม่ทราบ ถามว่าท่านนัดให้ลงไปหาจะพาเฝ้าไม่ใช่หรือ ก็รับว่า ท่านว่าเช่นนั้นแหละ แต่จะอย่างไรก็ไม่ทราบ ถามว่า ทำไมแกไม่เชื่อท่านหรือ บอกว่า ก็เชื่อแต่อย่างไรก็ไม่ทราบ ถามว่า ทำไมจึงว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ บอกว่าชาวบ้านเขาว่าอย่างหนึ่ง ถามว่า เขาว่ากระไรอิดเอื้อนไม่ใคร่จะบอก ต้องซักแล้วกระซิบกระซาบว่า เขาว่าไม่ใช่พระยาโบราณพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเอง พอรู้เช่นนี้เข้าขนลุกซ่าทั้งตัว ได้นึกสงสัยอยู่แล้วเลยนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปถามว่าแกเท็จทูลอะไรหรือจึงได้ไม่สบาย ก็ว่าได้พูดมากอยู่มีเรื่องขึ้นค่านาเป็นต้น ถามว่าพระรูปพระโฉมท่านเป็นอย่างไร กระซิบบอกว่า สูง ๆ ผอม ๆ ผิวอยู่ข้างจะคล้ำ จึงถามว่า วันนั้นไปด้วยกับเจ้าคุณโบราณแกจำได้หรือไม่ ว่าไม่ทันสังเกตมัวรับรองอยู่ แล้วหันไปถามลูกสาวว่า ท่านไปด้วยหรือไม่นางลูกสาวหัวร่อบอกว่าท่านไปด้วยจำ ได้ถามว่าถ้าข้าจะบอกแกว่าเป็นพระเจ้าอยู่หัวเองแกจะว่าอย่างไรออกจะเหลือกลานและจ้องอยู่สักครู่หนึ่ง ลุกขึ้นนั่งยอง ๆ ปูผ้าชวนลูกสาวแน่แล้วให้มากราบท่านเสีย ลูกสาวก็หยุดหัวร่อทันที สองคนปูผ้าลงกราบ 3 หนอย่างไหว้พระ ได้ให้แหวนเนื่องประดับเพชรพลอยซื้อจากกรุงเก่าทำขวัญคนละวง หลานเผอิญเสมาหมดเป็นของแกต้องการมาก ต้องทำให้กำไลเงินขอผีแทนคู่หนึ่งแล้ว ได้ลงเรือเวลา 3 โมงเช้ามาจนเลี้ยวขึ้นแควใหญ่ จึงได้เอาเรือไฟลากขึ้นมาจอดที่แพใต้สะเตชั่นรถไฟ พบพระยาสุขุมและจิระ ซึ่งได้พยายามทำเป็นคนตามเสด็จลงเรือแม่ปะถ่อ ขึ้นไปแม่น้ำน้อยบ้าง เรือแม่ปะมาถึงแควใหญ่เข้าดูงุ่มง่ามเต็มที่ ตานายท้ายบ่นว่าไม่ถึง ถ่อมันเป็นเรือสำหรับแควน้อยอย่างเดียวแท้ ๆ แต่ถ้าผู้ซึ่งไปเรือแม่ปะชั่ว แต่ขาล่องไม่ได้ถ่อขึ้นแล้ว นับว่าเป็นผู้ไม่เคยลงเรือแม่ปะได้ เพราะเวลาล่องมันเซ่อพ้นประมาณ ทำกับข้าวเลี้ยงกันที่แพแล้วสั่งคำพิพากษาประหารชีวิตอ้ายวิมทหารราบที่ 10 โทษฆ่านายสิบนายหมู่ตัวตาย ความเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 นายร้อยเอกขุนพิทยุทธคุมทหารเมืองนครสวรรค์ตามขึ้นไปจนถึงกำแพงเพชร จอดเรืออยู่ฝั่งตะวันตกห่างเรือที่นั่งจอดประมาณ 20 เส้นวันนั้นอ้ายวิมอยู่ยามในเรือมอ ซึ่งเป็นเรือทหารอยู่พวกทหารทั้งปวงข้ามมารับเสด็จเวลาเช้า 2 โมงเศษ อ้ายวิมบ่นว่าหิวข้าว ขอนายสิบเรียกทหารมาเปลี่ยน นายสิบบอกว่ายังไม่มีคนให้อยู่ ไปอีกหน่อยหนึ่งแล้วลุกขึ้นโผล่ออกมาจากขยาบ อ้ายวิมยืนยามอยู่ที่กระดานเลียบเอาดาบปลายปืนแทงนายสิบที่รักแร้ลึกถึงราวนม พลัดตกน้ำลงไปแต่น้ำตื้นไม่ได้จมและไม่มีหลักตออันใด นายสิบร้องขึ้นคนที่อยู่ในเรือไปช่วยพยุงขึ้นมาก็ขาดใจตาย ได้มีโทรเลขส่งไปถึงจิระเห็นว่าเป็นการสำคัญอยู่ควรจะต้องลงโทษโดยทันที ความเช่นนี้เป็นหน้าที่ศาลทหาร ให้จัดการตั้งศาลทหารที่เมืองนครสวรรค์ พิจารณาให้เสร็จทันวันกลับลงมาถึง คำให้การอ้ายวิมรับแก้ว่า สติหมายจะสะกิดพยานเบิกว่า ไม่มีสาเหตุวิวาทอันไดกัน หมอตรวจว่า อ้ายวิมไม่ได้เป็นคนเสียจริต นายทหารประจำหมวดเบิกความว่า อ้ายวิมเป็นคนเรียบร้อยไม่เคยต้องรับโทษเลย พึ่งเข้ามาเป็นทหารเมื่อเดือนเมษายน ศาลปรึกษาว่าอ้ายวิมทำผิดพระราชกำหนดกฎหมายและข้อบังคับทหาร ทั้งเป็นเวลารักษาราชการเสด็จพระราชดำเนินให้ลงโทษประหารชีวิต ได้สั่งให้ประหารชีวิตตามคำปรึกษาเพราะเห็นว่าทหารพึ่งตั้งขึ้นใหม่ ๆ ในหัวเมือง ถ้าหย่อนโทษจะเป็นเยี่ยงอย่างให้มีความกำเริบ กำหนดจะได้นำไปยิงเสียในเวลาพรุ่งนี้ เวลาบ่ายลงเรือไปเที่ยวหมายจะถ่ายรูปขึ้นไป พอพ้นจากคลองบอระเพ็ดหน่อยหนึ่งพอเห็นฝนตั้งจึงให้ปล่อยเรือไฟล่องมาถ่ายรูปได้ 2-3 แผ่น พอมีพายุจัดฝนตกต้องกลับลงมาทั้งฝนเวลาค่ำมีคนขายของ แต่ไต่ถามได้ความว่าเขาเกณฑ์ให้มาขายเป็นการกรุด” ในแม่น้ำจุดไฟตามเรือแพสว่างและมีพิณพาทย์ครึกครื้นไม่มียุงเหมือนคืนนี้ด้วย
ภาพที่ 14 ป้อมหน้าเมืองกำแพงเพชร.jpg

ภาพที่ 14 ป้อมหน้าเมืองกำแพงเพชร

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

ภาพที่ 15 ป่าเมืองกำแพงเพชร.jpg

ภาพที่ 15 ป่าเมืองกำแพงเพชร

ที่มา : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549

บทสรุปเหตุการณ์[แก้ไข]

การเสด็จประพาสต้น
         พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใฝ่พระทัยในทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์จึงมีพระราชอัธยาศัยโปรดเสด็จประพาสหัวเมืองใหญ่น้อยแทบทุกปี เหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นได้ชัดถึงความใคร่ห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อราษฎร ก็คือการเสด็จประพาสต้น การเสด็จประพาสต้นคือการเสด็จไปเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างง่าย ๆ โดยไม่ให้มีท้องตราสั่งหัวเมืองจัดทำที่ประทับแรม เมื่อพอพระราชหฤทัยจะประทับที่ใดก็ประทับที่นั่น บางครั้งก็ทรงเรือเล็กหรือเสด็จโดยสารรถไฟไป โดยมิให้ใครรู้จักพระองค์ทำให้ได้ประทับปะปนในหมู่ราษฎร ทรงทราบทุกข์สุขของราษฎรจากปากราษฎรโดยตรง ทำให้ได้ทรงแก้ไขปัดเป่าความทุกข์ยากให้ราษฎรของพระองค์ได้ผลโดยตรง สาเหตุที่เรียกประพาสต้น เพราะการเสด็จประพาสต้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2447 โปรดให้เจ้าหมื่นเสมอใจราช คุมเครื่องครัวในเรือมาดที่เป็นราชพาหนะคราวนั้นเจ้าหมื่นเสมอใจราชชื่ออันตรัสเรียกเรือลำนั้นว่า“ เรือตาอ้น” เรียกเร็ว ๆ เสียงเป็น“ เรือต้น” จากนั้นถ้าเสด็จประพาสโดยกระบวนเรือพระที่นั่งมาดเก๋ง 4 แถวโดยพระราชประสงค์มิให้ผู้ใดทราบ ก็เรียกการเสด็จประพาสนั้นว่า“ ประพาสต้น” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้นลักษณะนี้ 2 คราวคือ คราว พ.ศ.2547 เสด็จจากพระราชวังบางปะอินไปมณฑลราชบุรี แล้วกลับมามณฑลนครไชยศรีและมณฑลอยุธยา และอีกครั้งหนึ่งเมื่อพ. ศ. 2449 เสด็จจากกรุงเทพฯไปเมืองสระบุรีกลับมาบางปะอิน ไปเมืองอ่างทองขึ้นไปนครสวรรค์ จนถึงเมืองกำแพงเพชรเมื่อปี ร.ศ.124 ตรงกับ พ.ศ.2549

บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์[แก้ไข]

สำหรับเพื่อนเที่ยวในการเสด็จประพาสต้น มีชื่อปรากฏในแต่ละครั้ง รวมได้ดังนี้
         1. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์
         2. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ
         3. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย (พระองค์เจ้าไชยันต์มงคล)
         4. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์
         5. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสาตรศุภกิจ
         6. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
         7. สมเด็จพระปิตุจฉา สุขุมาลมารศรี พระอัครเทวี
         8. สมเด็จพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ
         9. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร
         10. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
         11. พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
         12. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนลพบุรีราเมศวร
         13. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร
         14. พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์
         15. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช
         16. พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ
         17. พระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ (โต บุนนาค)
         18. พระยาโบราณราชธานินทร์
         19. หมื่นเสมอใจราช (อ้น นรพัลลภ)
         ส่วนชาวบ้านที่รู้จักพระองค์และมีความสนิทสนมจากการเสด็จประพาส ทรงเรียกว่า “เพื่อนต้น”

ข้อมูลการสำรวจ[แก้ไข]

วันเดือนปีที่สำรวจ[แก้ไข]

         วันที่ 11 ตุลาคม พุทธศักราช 2562

วันปรับปรุงข้อมูล[แก้ไข]

         วันที่ 1 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2562

ผู้สำรวจข้อมูล[แก้ไข]

         นางสาววนัสนันท์  นุชนารถ

คำสำคัญ (tag)[แก้ไข]

         เสด็จประพาส, เมืองกำแพงเพชร