หลวงพ่อพระศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน กำแพงเพชร

จาก KPPStudies
ไบยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

บทนำ[แก้ไข]

         หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธินแต่เดิมเรียกขานกันว่าหลวงพ่อศิลาแลง ภายหลังมีการขนานนามท่านใหม่ว่าหลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ เป็นพระพุทธรูปโกลนศิลาแลงที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกำแพงเพชร และอาจจะจัดเป็นพระพุทธรูปโกลนศิลาแลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยหรือในโลกก็ว่าได้ หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์เป็นพระพุทธศิลป์สมัยสุโขทัย หมวดกำแพงเพชร หรือ อาจเรียกได้ว่า เป็นศิลปะ กำแพงเพชร ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ หน้าตักขนาดใหญ่ กว่า 6 เมตร พระรัศมีเป็นเปลวเพลิง ขมวดพระเกศาเป็นก้นหอย พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์อมยิ้มเล็กน้อย พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก ครอง สังฆาฏิยาวลงมาจรดพระนาภี ปลายสังฆาฏิเป็นลายเขี้ยวตะขาบ มีผู้สังเกตว่าพระพักตร์ หลวงปู่จะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และอารมณ์ของผู้เข้ามากราบขอพรอาจจะยิ้ม ดุ หรือเมตตา เศร้า นับว่าแปลกมาก มีสังวาลเป็นพุทธะรัตนะที่งดงาม ที่มีรูปแมงป่องยักษ์ เป็นสัญลักษณ์ประจำองค์ของหลวงปู่ศรีสรรเพชญ์

คำสำคัญ : พระศรีสรรเพชญ์ หรือ หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์, วัดศรีโยธิน, หลวงพ่อทำนอง, บ้านศรีโยธิน

ความเป็นมาของพระศรีสรรเพชญ์[แก้ไข]

         หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน เป็นพระพุทธรูปโกลนศิลาแลงที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกำแพงเพชร และอาจจะจัดเป็นพระพุทธรูปโกลนศิลาแลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยหรือในโลกก็ว่าได้ หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ เป็นพระพุทธศิลป์สมัยสุโขทัย หมวดกำแพงเพชร หรือ อาจเรียกได้ว่าเป็นศิลปะกำแพงเพชรปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ หน้าตักขนาดใหญ่ กว่า 6 เมตร พระรัศมีเป็นเปลวเพลิง ขมวดพระเกศาเป็นก้นหอย พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์อมยิ้มเล็กน้อย พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็กครองสังฆาฏิยาวลงมาจรดพระนาภี ปลายสังฆาฏิเป็นลายเขี้ยวตะขาบ มีผู้สังเกตว่าพระพักตร์หลวงปู่จะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และอารมณ์ของผู้เข้ามากราบขอพรอาจจะยิ้ม ดุ หรือเมตตา เศร้า นับว่าแปลกมาก มีสังวาลเป็นพุทะรัตนะที่งดงาม ที่มีรูปแมงป่องยักษ์ เป็นสัญลักษณ์ประจำองค์ของหลวงปู่ศรีสรรเพชญ์
1 หลวงพ่อศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน.jpg

ภาพที่ 1 พระศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน จังหวัดกำแพงเพชร

         พระปลัดสุพิน สุชีโว พระเลขาเจ้าอาวาสวัดศรีโยธิน ตำบลหนองปลิง อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของวัดศรีโยธินว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นโดย ร้อยเอกทำนอง โยธินธนสมบัติ ต่อมาท่านได้บวชและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส นามหลวงพ่อทำนอง คุณังกะโร (พระครูวุฒิวชิรสาสน์) เมื่อท่านสร้างวัด ท่านนิมิตว่า มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งมาเข้านิมิตและจะมาช่วยสร้างวัด เมื่อท่านตื่นขึ้นก็ไปเที่ยวหาพระตามนิมิตและพบพระพุทธรูป โกลนศิลาแลง ขนาดหน้าตักกว้าง 6 เมตร จมดินอยู่บริเวณหลังฌาปนสถานของเทศบาล ในลักษณะฝังดินอยู่ ได้ทำพิธีอัญเชิญขึ้นมามีชิ้นส่วนหลายชิ้น ตามหลักการสร้างพระโกลนศิลาแลงขนาดใหญ่ เมื่ออัญเชิญขึ้นมาเกิดพายุใหญ่ลมหมุนมืดครึ้มไปทั่วบริเวณ ได้ยกขึ้นมาพบแมงป่องจำนวนมากอยู่ใต้ฐานพระ ยกมาประดิษฐานเป็นพระประธานในวัดศรีโยธิน ได้ตกแต่งให้เป็นองค์พระที่งดงาม เดิมเรียกกันว่าหลวงพ่อศิลาแลงภายหลังขนานนามท่านว่า หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ เมื่อนำผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีมาตรวจสอบพบว่า หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์องค์นี้ สันนิษฐานว่าจะเป็นพระพุทธรูปที่วัดพระแก้วภายในกำแพงเมืองกำแพงเพชร  ที่ถูกเคลื่อนย้ายไป และนำไปซ่อนไว้ที่พบพระและไม่สามารถนำไปได้ด้วย เหตุผลหลายประการ เมื่อหลวงพ่อทำนองมาพบและนำไปประดิษฐานเป็นพระประธานในโบสถ์วัดศรีโยธิน เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์หลายประการ ต่อมามีผู้โชคดีจากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลที่นำเงินที่ได้มาส่วนหนึ่งมาสร้างวัด ทำให้วัดศรีโยธินเจริญอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นความเชื่อของผู้คนในยุคสมัย หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งที่พบในเมืองกำแพงเพชร (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2561)
         หลวงปู่พระศรีสรรเพชญ์เป็นพระพุทธรูปโบราณเนื้อศิลาแลง สร้างสมัยใดไม่ปรากฏแต่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสมัยสุโขทัยยุคต้น ซึ่งมีอายุประมาณ 1,000 ปี ขนาดหน้าตักกว้าง 6 เมตร ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดศรีโยธิน มีความเป็นมาดังนี้
         เมื่อวันเพ็ญเดือน 11 พ.ศ.2525 เป็นวันพระออกพรรษา มีผู้ใจบุญได้มาทำบุญตักบาตรหลายท่าน บางท่านก็มีรักษาศีลอุโบสถ โดยนอนค้างที่วัดศรีโยธินในจำนวนนี้มีร้อยเอกทำนอง ได้มารักษาศีลและนอนค้างที่วัดตอนเย็นหลังจากทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้วก็มีการสนทนาธรรมกัน ในเรื่องหนึ่งที่คุยกันปรากฎว่าวันนี้เป็นวันพระออกพรรษาแล้วพรุ่งนี้พระที่จำพรรษาอยู่ก็จะกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมหมดแล้วจะไปหาพระที่ไหนมาเฝ้าวัดให้ เพราะวัดของเราสร้างใหม่อยู่ในป่า พระที่ไหนจะมาอยู่ให้ เมื่อพูดคุยกันแล้วก็ไม่มีใครคิดอะไรต่างก็หาที่หลับนอนพักผ่อน ในขณะที่นอนพักผ่อนอยู่นั้น ร้อยเอกทำนอง ก็ฝันไปว่ามีพระสงฆ์รูปหนึ่ง แก่ชรามาก หนังย่น ผิวคล้ำ มานั่งที่ศาลาที่คณะรักษาศีลอุโบสถนอนอยู่ โดยที่ผู้ฝันไม่รู้ท่านมาจากไหนอย่างไร เมื่อท่านมานั่งแล้วยังยกมือขึ้นแล้วบอกว่า “โยมไม่ต้องวิตกฉันจะมาเฝ้าวัดให้ มาช่วยสร้างวัดสร้างบ้านเมืองช่วยให้สะดวกเจริญ” เมื่อผู้ฝันทราบครั้งแรกไม่ค่อยเชื่อถือ ไม่เลื่อมใส เพราะเคยหาพระมาเฝ้าวัดแล้วไม่ได้ดีสักหน แต่ก็จำใจพูดไปว่า “หลวงพ่อแก่แล้วจะมาสร้างวัดไหวหรือ อย่างดีก็พอเฝ้าวัดได้เท่านั้น” ท่านพูดขึ้นว่า “ไหวซิ ถ้ามาแล้วก็จะหนุ่มขึ้น ผู้ฝันจึงตอบไปว่า คนแก่แล้วจะให้หนุ่มได้อย่างไร หลวงพ่อมียาดีหรือ” ท่านบอกว่า มีผู้ฝันก็รบเร้าท่านให้บอกยา ท่านก็บอกให้ และบอกว่ายานี้กินเข้าไปแล้วมันไม่หนุ่มเหมือนคนหนุ่มทั้งหลายนะ แต่แข็งแรงทำงานไหว ในตอนพูดคุยกัน ผู้ฝันสนใจมากอยากจะได้ท่านมาอยู่ด้วยจึงถามท่านว่า “หลวงพ่ออยู่ที่ไหน ชื่ออะไร ผมจะไปรับท่านมา” ท่านก็ไม่อยากจะบอก เมื่อทนผู้ฝันรบเร้าไม่ไหว ท่านก็บอกให้ว่า “ท่านชื่อพระศรีสรรเพชญ์ อยู่องค์เดียวมานานแล้วทางตะวันออกของเมืองกำแพงเพชร” เมื่อสนทนากันแล้ว ไม่ว่าท่านกับผู้ฝันไปกันอย่างไร ท่านจะไปทางไหนผู้ฝันไม่ทราบ ต่อมาเมื่อถึงตอนตี 5 ทุกคนได้ลุกจากที่นอนเตรียมที่จะไปทำวัตรเช้า ก่อนทำวัตรเมื่อพระมารวมกันที่ศาลาครบแล้ว ผู้ฝันก็ได้เล่าเรื่องนิมิตให้ทุกคนฟังที่ศาลา และทุกคนก็บอกว่าฝันดีจะมีโชค เมื่อทำวัตรสวดมนต์แล้วก็ทำบุญตักบาตรกันเพราะเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 เมื่อทำบุญเช้าเสร็จแล้ว พระทุกรูปต่างก็กลับภูมิลำเนาเดิมกันหมด เนื่องจากที่วัดไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน 
         เมื่อพระต่างกลับภูมิลำเนาหมดแล้ว ที่วัดก็ไม่มีผู้ใดจะเฝ้าวัด ผู้ฝันจึงจัดการจ้างคนมานอบเฝ้าวัดต่อไป ขณะที่จ้างคนมานอนเฝ้า วันนั้น ผู้ฝันก็คิดถึงคำพูดที่พูดกันและใบหน้าของท่านเสมอ ๆ จึงอยากไปพบท่าน จนสุดความสามารถที่จะไปติดตามพบท่าน ได้เพราะไปถามใคร ๆ ก็ไม่รู้จักชื่อและที่อยู่กันทั้งนั้น แต่ผู้ฝันก็ไม่วายที่จะอดนึกถึงท่าน จึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปบ้าน เพื่อไปพบพระครูรูปหนึ่งที่ชอบกัน ท่านอยู่ที่บุคคโล เมื่อไปถึงก็เล่าความฝันให้ท่านฟังทั้งหมด เมื่อท่านทราบแล้วก็บอกว่า “โยมฉันทำนายฝันไม่เป็น ฝันแปลกดี ฉันจะพาไปพบอาจารย์ของฉันแล้วกัน ท่านได้ทำนายฝันแม่นมาก ท่านพาผู้ฝันไปที่วัดสามปลื้มไปพบสมเด็จ วัดสามปลื้ม เล่าความฝันให้ท่านฟัง ท่านทราบแล้วบอกว่าโชคดีมากฝันดี ที่วัดที่บ้านแถวถิ่นจะเจริญรุ่งเรือง กลับไปนี้ ให้ไปรับท่านตามที่ฝันนะ” แล้วผู้ฝันก็กลับบ้านกำแพงเพชรด้วยความมืดมนไม่รู้จะไปทางไหน       
         อยู่มาวันหนึ่งร้อยเอกทำนองชวนนายไฉนไปเที่ยวในเมืองเพื่อหาอาหารทานกัน ขณะนั้นที่วัดยางกำลังสร้างเมรุ แต่แปลกเมรุที่สร้างขึ้นเป็นเมรุแฝด คือในปล่องเดียวกันนั้นมีเต่าคู่จึงเข้าไปดู เมื่อดูเมรุแล้วก็เตรียมจะกลับกัน เผอิญสายตาร้อยเอกทำนองมองไปพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไม่ทราบว่าต้นอะไร แต่ตรงยอดต้นนั้นแกว่งไกวไปรอบ ๆ ส่วนกิ่งอื่น ๆ ไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อยขณะนั้นเวลาร่วม 11.00 น. ไม่มีลมเลย จึงได้ชวนนายไฉนเข้าไปดู แต่นายไฉนบอกว่า น่าแปลกทำไมจึงหมุนอยู่กิ่งเดียวกิ่งอื่นทำไมไม่หมุนด้วยจึงไปดูกัน แต่นายไฉนค้านบอกว่าแก่แล้วเดินไม่ไหวเพราะป่ารกมากมีกอไผ่หนามทุกชนิดรวมทั้งต้นหมามุ่ยก็มาก แต่ด้วยร้อยเอกทำนองที่อยากเห็นจึงบอกลุงไฉนว่า ให้ตามผมไปผมจะเป็นผู้แหวกป่าเองให้ตามมาโชคดีถ้าเราจะจับชะนีได้ เพราะต้องเป็นชะนีหรือลิงแน่ แต่พอไปถึงใกล้ ๆ กิ่งไม้ก็เงียบไม่ไหวติงแต่อย่างใด เมื่อเดินอ้อมไปก็พบเนินดินใหญ่ซึ่งป่ารกมาก เมื่อขึ้นไปถึงเนินดินแล้วก็พอดีไปเหยียบตรงไหล่ของท่านเข้าสะดุดเท้าพอดี จึงก้มลงแหวกหมู่หญ้าดูจนพบเศียรและไหล่ของท่านอยู่ในท่าตะแคงเอียงเล็กน้อย โผล่คนขึ้นมาไม่มากนัก เมื่อแรกพบเห็นท่านเหมือนกับใจถูกไฟฟ้าชอร์ตวูบร้อนผ่าวไปทั้งตัว และดีใจมากเหมือนได้พบกันตอนที่ฝัน พร้อมกับกำชับนายไฉนว่า อย่าไปบอกใครเป็นอันขาดให้ปิดไว้ก่อน แล้วคิดว่าทำอย่างไรจึงจะรับท่านมาได้ ต่อมาได้พยายามหาบุคคลอื่นที่แข็งแรงไปช่วยกันขุดอยู่ 3 วันจึงสำเร็จ คือ นายเสา หมอมา และบุคคลอื่นรวม 8 คน แต่ก่อนจะลงมือก็จุดธูปเทียนบอกนิมนต์ท่าน พอจะลงมือขุดครั้งแรกไม่มีใครลงมือขุดก่อน เพราะกลัวจะมีอันเป็นไป
         คณะขุดจึงยกให้ผู้กองเป็นผู้ลงมือขุดก่อน เพราะเป็นผู้ฝันตกลงผู้ฝันต้องขุดเป็นคนแรก เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ขณะที่ยกจอบขึ้นครั้นจะลงดิน ได้มีแมลงป่องช้างตัวเท่าปูนาขาวโผล่ขึ้นมายกก้ามปูหางขึ้น ผู้ขุดก็หยุดจอบ แล้วก็บอกว่าไป ๆ หลวงพ่อท่านบอกให้มารับท่านไปอยู่ที่วัดขอให้หลีกไปแมลงป่องช้างตัวใหญ่สีขาวนั้นก็เดินเข้าป่าหายไป จึงทำการขุดกันได้โดยสะดวกขณะที่ขุดเอาท่านขึ้นมานั้นลักษณะท่านสมบูรณ์ 80% แต่พอขุดจอบทำชะแรงไปถูกเอาองค์ท่านทำให้เกิดแตกบินผุพังไปก็มาก เพราะลักษณะศิลาแลงจมดินอยู่นาน ๆ จะเกิดการอ่อนตัวยุ่ยจึงให้ช่างซ่อมแซมดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
         การขนย้ายเนื่องจากท่านหลวงปู่ท่านเป็นองค์ใหญ่ หน้าตัก 6 เมตร เนื้อศิลาแลงทั้งองค์น้ำหนักมากจำเป็นต้องใช้รถยกและรถบรรทุกคันใหญ่จึงจะไหว ร้อยเอกทำนองจึงไปหานายกวย ศิลาหลัก ซึ่งมีเครื่องมือที่ทำการได้ นายกวยบอกว่าจะทำบุญด้วย แต่ขอค่าน้ำมันและค่าแรงคนงาน 2,000 บาท แต่ร้อยเอกทำนองมีเงินอยู่เพียง 70 บาท จึงขอผลัดไปหาเงินก่อนสัก 3 วัน แล้วก็ไปหาเงินที่นายสุวรรณ เมื่อเล่าความให้ฟัง นายสุวรรณบอกว่าเงินไม่มีให้ไปหาคุณหยี เมื่อไปหาคุณหยีก็เล่าให้คุณหยีฟัง คุณหยีบอกว่าการย้ายพระพุทธรูปนี้ อย่ามาเกี่ยวข้องกับฉันเลยฉันไม่เอาด้วยหรอก เพราะครั้งหนึ่งบิดาของฉันไปหว่านแห หาปลาไปได้พระพุทธรูปเศียรขาดนำมาบ้านมาจัดการซ่อมเศียรแล้วทำให้พ่อต้องทอดผ้าป่าถวายเท่าอายุ หรือทำบุญอุทิศให้อย่างอื่น ๆ อีกหลายอย่างพ่อฉันไม่หายฉันไม่เล่นด้วย ร้อยเอกทำนองบอกว่าที่มานี้ไม่ได้ให้คุณเล่นด้วย แต่จะมาขอกู้เงินไปให้ค่ารถบรรทุกพระให้นายกวยเจ้าของรถเพราะเขาจะเอา 2,000 บาท คุณหยีบอกว่าเงินไม่ต้องกู้จะหาให้แต่ฉันไม่รับรู้ด้วย ขณะนี้ยังไม่มีเงิน ให้กลับไปบอกนายกวยซึ่งเป็นคนชอบพอกันว่าจะจัดการให้เอง เมื่อนำความไปบอกให้นายกวยทราบแล้ว ก็ตกลงนัดกันที่จะบรรทุกหลวงพ่อมาที่วัด แต่มานึกขึ้นว่าการที่จะนำหลวงพ่อ ซึ่งใหญ่มากไปตามเส้นทางซึ่งผ่านสถานที่ราชการหลายหน่วยงานคงจะเป็นการไม่ดีหรือไม่เหมาะสม จึงไปติดต่อกับหน่วยกรมศิลปากรจังหวัดกำแพงเพชร ได้คำตอบว่าถ้าเป็นพระพุทธรูปเคลื่อนย้ายไม่ได้ แต่นี้ไม่ใช่พระพุทธรูปเป็นแค่เพียงแกนในของพระซึ่งไม่ใช่พระพุทธรูป ประกอบกับทางวัดศรีโยธินไม่มีพระพุทธรูปบูชา จึงจำเป็นที่จะต้องเอาแกนในที่ชำรุดแตกหักไปเพื่อซ่อมแซมไว้กราบไหว้บูชาเพื่อเป็นหลักทางใจ และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2532 เวลา 12.00 น. เริ่มลงมือทำการขนย้ายจนกระทั่งเวลาบ่าย 5 โมงเย็น จึงจัดการขึ้นรถบรรทุกได้เรียบร้อยแล้วก็มีคนโจษขานกันว่า เขาขุดพระกำลังเอาขึ้นรถคณะศรัทธาตลาดแผงลอย จังหวัดกำแพงเพชรได้ปิดการขายของ แห่กันมาดูกันแน่นเป็นประวัติการณ์ เมื่อมาเห็นแล้วต่างก็อนุโมทนาบริจาคทรัพย์ทำบุญได้เงินถึง 3,000 บาท เป็นอันว่าค่าจ้างรถบรรทุกมีพอและยังได้เงินเกินไว้ทำอย่างอื่นอีก พอนิมนต์องค์ท่านมาถึงวัดศรีโยธินเวลานั้นประมาณ 18.00 น. พอจัดการนำองค์ลงจากรถเรียบร้อยพอดีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คัน รถปิกอัพมาถึงวัดแจ้งว่า มีผู้แจ้งว่ามีคนนำพระพุทธรูปมา จึงมาสอบถามและชี้แจงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบแล้วก็กลับไป หลังจากนั้นร้อยเอกทำนองก็จัดการทำปะรำพิธีขึ้นโดยหาผ้าจีวรเก่ามามุงทำหลังคา นัดหมายกับผู้มีจิตศรัทธาทั่วไปร่วมกันสวดมนต์พระพุทธคุณ คืนละ 108 จบ มีกำหนด 4 คืน แบ่งสวดกันคืนละ 50 คนเป็นอย่างน้อย โดยใช้เทียนเป็นแสงสว่างตอนนั้นที่วัดยังไม่มีไฟฟ้าใช้และนัดหมายกันว่าเมื่อสวดครบ 4 คืน แล้วจะทำบุญตักบาตรกันเพื่อเป็นการสมโภชพอสวดไปถึงวันที่ 8 ก็เกิดประหลาดมีแสงสว่างพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ายาวจนชาวบ้านแตกตื่น หนังสือพิมพ์ลงข่าวไปทั่ว จึงทำให้ประชาชนมานมัสการกราบกันทั่วประเทศ บางท่านก็มาขอน้ำมนต์รักษาโรคต่าง ๆ บางท่านก็มาขอโชคลาภปรารถนาไปก็ไม่น้อย ต่อมาเมื่อทำบุญเสร็จแล้ว ร้อยเอกทำนองก็หาช่างมาซ่อมแซมบูรณะให้สมบูรณ์ดีตกลงมอบให้หลวงพ่อเรียบเป็นผู้ปฏิสังขรณ์ โดยเตรียมเครื่องสูบน้ำแปลงขัดถูรวมคนมาช่วยกันขัดเอาดินและรากหญ้าออกจากองค์ท่าน โดยหลวงพ่อเรียบเป็นผู้จัดให้มีคนยืนประมาณ 10 คนเศษ ร้อยเอกทำนองจึงพูดขึ้นว่า “หลวงพ่อขอเลขท้ายรางวัลที่ 1 3 ตัวหน่อยจะได้เอามาสร้างวัดวิหาร” หลวงพ่อเรียบจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่โยมประสาทดีหรือเปล่า” ร้อยเอกทำนองตอบว่า “ผมไม่บ้านะ แต่ขอหวยหลวงพ่อ” แต่ทุก ๆ คนก็หัวเราะกัน ท่านเชื่อไหมครับ ต่อมาอีกประมาณ 10 นาทีเศษ ร้อยเอกทำนองเห็นเลขขึ้นที่แก้มของท่านด้านซ้ายเป็นเลขใหญ่และเป็นตัวนูน เลขที่เห็นคือ 085 ต่อมาอีก 3 วัน หวยเลขท้ายรางวัลที่ออก 085 ตรง ๆ มีผู้โชคดีถูกกันหลายท่าน แต่ร้อยเอกทำนองไม่ถูกเพราะไม่ได้ซื้อ ต่อจากนั้นผู้คนหลั่งไหลกันมาขอโชคไม่ขาดสาย จนได้เงินสร้างวิหารไม้ชั่วคราวไว้ให้ท่านประดิษฐาน (ในการซ่อมแซมครั้งนั้น หลวงพ่อเรียบทำการไม่เสร็จเพราะทำเท่าไรก็ไม่ได้ มีคนบอกว่าบวงสรวงไม่ถูก แต่จริง ๆ จะเป็นอย่างใดไม่ทราบได้) เมื่อก่อแท่นเสร็จก็นิมนต์ท่านขึ้นสู่บัลลังก์ ทั้ง ๆ ที่องค์ยังไม่สมบูรณ์ดี วันยกขึ้นบัลลังก์คือ วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2536 ตรงกับวันศุกร์ เวลา 15.41 น. ได้มีรถขององค์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกำแพงเพชร อยากมาร่วมงานทำบุญด้วยมีประชาชนมาประมาณ 700 คน ใช้ด้ายสายสิญจน์ 3 สายโยง ผู้คนที่มาในงานต่างก็ถือสายสิญจน์โยงกันเกือบทุกคน พอรถยกองค์ท่านขึ้นสูงจากพื้นดินประมาณเลยสะดือก็มองเห็นแมงป่องช้างตัวใหญ่สีขาวจำนวน 3 ตัว มาอยู่ใต้ฐานที่ท่านนั่งอยู่ จากนั้นก็เกิดพายุหมุนจนใบไม้และฝุ่นตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ ทั้ง ๆ ที่ก่อนจะยกท่านขึ้นนั้น ไม่มีวี่แววจะมีลมเลย ขณะที่คนแตกตื่นลมนั้น ด้ายสายสิญจน์ที่โยงหายหมด จนกระทั่งนายลิ่ม  ขุนพิทักษ์ พัศดี เรือนจำจังหวัดกำแพงเพชร ต้องเข้ามาพูดบอกกล่าวในเครื่องขยายเสียงว่า ตัวท่านบวชเรียนมาร่วม 10 ปี ไม่เคยเห็นอภินิหารอย่างนี้มาก่อนเลย และคนอื่นก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อนเช่นกัน เมื่อท่านได้เข้าที่เรียบร้อยแล้วจึงได้ติดต่อช่างถวิล ที่จังหวัดนครสวรรค์มาบูรณะซ่อมแซม ดังที่ปรากฏอยู่ เมื่อเสร็จแล้วคณะศรัทธาได้จัดพิธีทำบุญกันอีก 
         นอกจากนี้ท่านได้มีสีแสงออกมาให้ชาวบ้านได้ชมบารมี โดยเฉพาะวันพระ 15 ค่ำจะมีแสงสว่างออกมาราว 5 นาที ก่อนจะหายไปเป็นอย่างนี้อยู่ราว 2 พรรษา มีผู้คนมาพิสูจน์กันมากมายจนเป็นที่เล่าลือกันไปทั่วทุกสารทิศจึงมีผู้มากราบไหว้ไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังมีการมาบนบานสานกล่าวท่านในทางขอหวย ให้ทวงถามหนี้ หรือเรื่องช่วยหางาน-เข้างานได้อีกมากมาย (พระสายัณห์ ติกฺขปญฺโญ, 2553, หน้า 2-5)

โกลนพระพุทธรูป[แก้ไข]

         โกลนพระพุทธรูปคือ เกลาไว้ ทำเป็นรูปเลา ๆ ไว้ เช่น โกลนไม้ โกลนเรือ และการขึ้นรูปวัตถุหรือสิ่งก่อสร้างที่เป็นไม้ ดิน อิฐ หิน ปูน ศิลาแลง ด้วยการถาก เกลา หรือปั้นอย่างคร่าว ๆ ก่อนตกแต่งให้สมบูรณ์ต่อไป (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์, 2557)
2 ตัวอย่างลักษณะโกลนพระพุทธรูปสมัยทวารวดี.jpg

ภาพที่ 2 ตัวอย่างลักษณะโกลนพระพุทธรูปสมัยทราวดีสมัยทวารวดี (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์, 2557)

พระศรีสรรเพชญ์[แก้ไข]

ที่มาชื่อพระศรีสรรเพชญ์[แก้ไข]

         พระพุทธรูปในวัดศรีโยธินที่ค้นพบมาจากวัดพระน้อย (หรือวัดคูยางในปัจจุบัน) ชาวบ้านศรีโยธินต่างขานนามว่า “พระศรีสรรเพชญ์” ตั้งแต่สมัยที่ค้นพบพระพุทธรูป แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้ตั้งชื่อพระศรีสรรเพชญ์แต่ก็ได้เรียกขานนามพระศรีสรรเพชญ์มาจนถึงปัจจุบัน

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง[แก้ไข]

         วัดพระศรีสรรเพชญ์ หรือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดหลวงในพระราชวังโบราณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา อีกทั้งยังเป็นต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชม ศึกษาความงามทางประวัติศาสตร์ที่ยังเหลือเอาไว้ในสถานที่แห่งนี้
         วัดพระศรีสรรเพชญ์ หรือ วัดพระศรีสรรเพชญ เป็นอดีตวัดหลวงประจำพระราชวังโบราณ อยุธยา ตั้งอยู่ที่ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทางทิศเหนือของวิหารพระมงคลบพิตร ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาสร้างขึ้นราวปี พ.ศ.1991 โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
         วัดพระศรีสรรเพชญ์ มีจุดที่น่าสนใจที่สำคัญคือ เจดีย์ทรงลังกาจำนวนสามองค์ที่วางตัวเรียงยาวตลอดทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของวัด สร้างขึ้นเป็นองค์แรกทางฝั่งตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2035 โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พระราชบิดา) ต่อมาในปี พ.ศ.2042 ก็ทรงให้สร้างเจดีย์องค์ต่อมา (องค์กลาง) ของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระเชษฐาต่างพระมารดาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2) และเจดีย์ฝั่งตะวันตกของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 และในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 ก็ทรงสร้างเจดีย์อีกองค์ในฝั่งทิศตะวันตกให้ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พระราชบิดา รวมเป็นสามองค์ตามปัจจุบัน (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2562)
3 วัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา.jpg

ภาพที่ 3 วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2562)

ข้อสันนิษฐาน[แก้ไข]

         ข้อสันนิษฐานที่ 1 พระศรีสรรเพชญ์ที่ต่างเล่าว่าค้นพบมาจากวัดพระน้อย (หรือวัดคูยางในปัจจุบัน) อาจไม่ได้ค้นพบที่วัดพระน้อยเพราะว่าวัดพระน้อยในอดีตมีพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร ซึ่งองค์พระใหญ่กว่าพื้นที่วัดพอสมควร เหตุที่ถูกขุดค้นพบจึงไม่สมเหตุสมผลที่จะอยู่ในพื้นที่วัดพระน้อยได้
         ข้อสันนิษฐานที่ 2 พระศรีสรรเพชญ์อาจจะถูกขโมยมาจากวัดพระแก้วในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร แต่ด้วยองค์พระที่ค่อยข้างมีขนาดใหญ่มาก ทำให้เคลื่อนย้ายไม่ได้สะดวก และเป็นที่ผิดสังเกตของผู้คนโดยทั่วไป จึงทิ้งไว้ที่วัดพระน้อย (หรือวัดคูยางในปัจจุบัน)
         ข้อสันนิษฐานที่ 3 ตามที่เล่าขานกันมาว่าพระศรีสรรเพชญ์อยู่ในสมัยสุโขทัยตอนต้น มีอายุราว 1,000 ปี อาจไม่เป็นความจริง เพราะศิลาแลงเพิ่งถูกคิดค้นมาสร้างองค์พระในสมัยอยุธยาและลักษณะองค์พระนั้นคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยามากกว่า ซึ่งมีอายุแค่ราว 200 กว่าปีเท่านั้น

วัดพระแก้ว อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร[แก้ไข]

4 วัดพระแก้ว ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร.jpg

ภาพที่ 4 วัดพระแก้ว ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

         วัดพระแก้ว เป็นวัดที่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์มาก่อน วัดพระแก้วเป็นวัดอารามหลวงที่มีขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางเมืองเช่นเดียวกับวัดมหาธาตุ สุโขทัย และวัดศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยาเป็นวัดที่มีเฉพาะเขตพุทธาวาส ไม่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษา สิ่งก่อสร้างภายในวัดเรียงเป็นแนวยาวตามแกนตะวันออกขนานกับกำแพงเมืองด้านทิศใต้ ตอนหน้าสุดของวัดเป็นฐานไพทีขนาดใหญ่ บนฐานมีโกลนศิลาแลงพระพุทธรูปประธาน ถัดมาเป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ ฐานมีสิงห์รอบจำนวด 20 ตัว วิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นสามองค์ และตอนท้ายสุดเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ประดับช้างปูนปั้นที่ฐานโดยรอบจำนวน 32 เชือก (สันติ อภัยราช, 2558)
5 พระประธานที่อยู่ในวัดพระแก้ว.jpg

ภาพที่ 5 พระประธานที่อยู่ในวัดพระแก้ว อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

ลักษณะปฏิมากรรม[แก้ไข]

         องค์พระหลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ เดิมเป็นพระพุทธรูปโบราณเนื้อโกรนศิลาแลง คือ พระพุทธรูปไม่มีหน้า ขนาดหน้าตักกว้าง 6 เมตร เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ในการสร้างพุทธรูปจึงต้องสร้างชิ้นส่วนของพระพุทธรูปแยกชิ้นกันเป็นส่วนพระเศียร ส่วนตัว แขนและฐาน แล้วนำมาประกอบกันเป็นองค์พระ ไม่ปรากฏว่าสร้างในสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสมัยสุโขทัยยุคต้น ซึ่งมีอายุประมาณ 1,000 ปี แต่ในการสร้างวัดศรีโยธินจึงได้อัญเชิญพระศรีสรรเพชญ์มาประดิษฐานที่วัด จึงได้มีการนำช่างมาตกแต่งพระพุทธรูป โดยการเอาเนื้อศิลาแลงมาทำให้ป่นแล้วนำมาฉาบตามองค์พระ แล้วทำการใส่หน้าตาให้พระศรีสรรเพชญ์ให้ดูสวยงามและแตกต่าง เราจึงไม่สามารถเห็นองค์ตามแบบเดิมได้ ในปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวิหาร วัดศรีโยธิน หมู่บ้านศรีโยธิน (สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร, 2560)
6 หลังพระวิหารวัดศรีสรรเพชญ์.jpg

ภาพที่ 6 หลังพระวิหารวัดศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน จังหวัดกำแพงเพชร

7 ฐานพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ์.jpg

ภาพที่ 7 ฐานพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน จังหวัดกำแพงเพชร

บทสรุป[แก้ไข]

         หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน แต่เดิมเรียกขานกันว่าหลวงพ่อศิลาแลง ภายหลังมีการขนานนามท่านใหม่ว่าหลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ เป็นพระพุทธรูปโกลนศิลาแลงที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกำแพงเพชร และอาจจะจัดเป็นพระพุทธรูปโกลนศิลาแลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยหรือในโลกก็ว่าได้ หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์เป็นพระพุทธศิลป์สมัยสุโขทัย หมวดกำแพงเพชรหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นศิลปะกำแพงเพชรปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ หน้าตักขนาดใหญ่ กว่า 6 เมตร พระรัศมีเป็นเปลวเพลิง ขมวดพระเกศาเป็นก้นหอย พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์อมยิ้มเล็กน้อย พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก ครองสังฆาฏิยาวลงมาจรดพระนาภี ปลายสังฆาฏิเป็นลายเขี้ยว มีสังวาลเป็นพุทธะรัตนะที่งดงาม 
         ประวัติความเป็นมาของท่านนั้นมีเรื่องราวที่การเล่าขานต่อกันมาหลายลักษณะและอาจมีข้อสันนิฐานเพิ่มเติมขึ้นมาจากแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับประวัติของท่าน ที่ยังคงหาข้อสรุปในความเป็นมาของหลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน ไม่ได้อย่างชัดเจน  แต่ถึงอย่างไรก็ตามความไม่ชัดเจนเหล่านั้นก็ไม่สามารถ   ทำให้ชาวบ้านวัดศรีโยธินเสื่อมใสศรัทธาในพระศรีสรรเพชญ์ได้ ชาวบ้านต่างเข้าวัดทำบุญและเคารพกราบไหว้บูชาพระศรีสรรเพชญ์ตั้งแต่อดีตยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน (พระครูวุฒิวชิรสาร, การสัมภาษณ์, 23 กันยายน2563)
ภาพที่ 8 ภายในพระอุโบสถที่ประดิษฐาน.jpg

ภาพที่ 8 ภายในพระอุโบสถที่ประดิษฐาน พระศรีสรรเพชญ์ วัดศรีโยธิน จังหวัดกำแพงเพชร

บรรณานุกรม[แก้ไข]

    การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2562). วัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา. เข้าถึงได้จาก https://sites.google.com/site/wisrutmithayap/wad-phra-sri-srr-phechy
    พระสายัณห์ ติกฺขปญฺโญ. (2553). คู่มือทำวัตรเช้า-เย็น เมตตาพรหมวิหารภาวนา. กรุงเทพฯ: อุษาการพิมพ์.
    พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์. (2557). โกลนพระพุทธรูป. เข้าถึงได้จาก https://nationalmuseumppcd.wordpress.com 	
    สันติ อภัยราช. (2558). หนังสืออาจารย์สันติ. เข้าถึงได้จาก http://sunti-apairach.com/book/AllBookshowSec1_01.php 
    สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2561). วัดศรีโยธิน. เข้าถึงได้จาก https://culturalenvi.onep.go.th/site/detail/44
    สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2560). วัดศรีโยธิน. เข้าถึงได้จาก https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=301& code_db=610009&code_type=01